เป็นเนื้อเยื่อที่มีส่วนต่าง
ๆ
หรือร่างกายทั่ว ๆ ไป ของต้นไม้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของต้นไม้
ที่เป็นพวกพืชชั้นสูง แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เนื้อเยื่อเจริญ และเนื้อเยื่อถาวร
ภาพที่ 4-1 เนื้อเยื่อพืช
1.
เนื้อเยื่อเจริญ (Meristematic
tissue)
เนื้อเยื่อเจริญ ( Meristematic tissue) เกิดจากกลุ่มเซลล์ที่ยังคงมีการแบ่งตัวอยู่ตลอดเวลา
เซลล์แต่ละเซลล์มีขนาดเล็ก ผนังเซลล์บาง นิวเคลียส ขนาดใหญ่ เมื่อเทียบกับ ไซโทพลาสซึม เป็นเซลล์ที่มี
เมแทบอลิซึมสูง พืชมีกลุ่มเนื้อเยื่อเจริญทำให้สามารถสร้างเซลล์ เนื้อเยื่อ
และส่วนต่าง ๆ ได้ตลอดชีวิต เช่นใบกิ่งก้านดอกไม้ ฯลฯ ซึ่งต่างจากสัตว์ที่มีการเจริญเติบโตจำกัด
โดยไม่มีการสร้างอวัยวะใหม่ เมื่อเจริญเติบโตเต็มวัยแล้ว สามารถพบกลุ่มเนื้อเยื่อเจริญ
ในพืชตามบริเวณที่พบได้ 3 ประเภท คือ
1) เนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายยอด ปลายราก (apical
meristem) พบบริเวณปลายของยอด
และรากการแบ่งเซลล์ของเนื้อเยื่อบริเวณนี้ทำให้พืชมี
ความสูงเพิ่มมากขึ้นและรากพืชเจริญหยั่งลึก
ลงในดินมากขึ้นสำหรับบริเวณปลายสุดของราก จะพบหมวกราก (root cap) ปกคลุมเนื้อเยื่อเจริญ ไว้เพื่อไม่ให้ได้รับความเสียหายจากการแบ่งตัวแทรกลงในดิน
ภาพที่ 4-10 เนื้อเยื่อลำเลียงลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (ลูกศร)
3.1 ไซเลม ทำหน้าลำเลียงน้ำและเกลือแร่จากรากไปยังส่วนต่างๆของพืช ไซเลมประกอบ ไปด้วยกลุ่มเซลล์ 4 ประเภทคือ
3) โฟลเอมพาเรงคิมา (phloem parenchyma) ทำหน้าที่สะสมสารอินทรีย์ เช่นแป้ง รวมทั้งแทนนิน และเรซิน เซลล์พาเรงไคมาพบกระจายในโฟลเอม ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนของรากและลำต้น
4) โฟลเอมไฟเบอร์ (phloem fiber) มีลักษณะยาวมาก ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับโฟลเอม โดยเฉพาะโฟลเอมที่มีบริเวณกว้าง
ภาพที่ 4-13 เซลล์ซีพทิวบ์และคอมพาเนียนเซลล์
2) เนื้อเยื่อเจริญด้านข้าง
(lateral meristem) เป็นกลุ่มเนื้อเยื่อที่เรียงตัวอยู่บริเวณเส้นรอบวงของ
ลำต้นและรากทำให้เมื่อแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวน ต้นพืชและรากจะมีเส้นรอบวงเพิ่มมากขึ้น พบมากในพืช
ไม้เนื้อแข็งเนื้อเยื่อกลุ่มนี้ได้แก่ วาสคิวลาร์แคมเบียม (vascular
cambium) และคอร์กแคมเบียม (cork acmbium)
3) เนื้อเยื่อบริเวณข้อ (intercalary meristem)
พบบริเวณเหนือข้อของพืชใบเลี้ยงเดี่ยว เมื่อเซลล์กลุ่มนี้แบ่งตัวจะทำให้ปล้องของพืชใบเลี้ยงเดี่ยวยาวขึ้นเนื้อเยื่อเจริญเมื่อแบ่งตามระยะ
การเจริญเติบโตสามารถแบ่งได้เป็นประเภท คือ
โพรเมอริสเต็ม
หรือ โพรโทเมอริสเตม (promeristem or protomeristem) เป็นกลุ่เนื้อเยื่อที่เกิดจาก
การแบ่งตัว
ของเซลล์เจริญที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและโครงสร้างภายในเซลล์ไปทำหน้าที่เฉพาะเซลล์
มีลักษณะ คล้ายกันและมีขนาดเล็ก
เนื้อเยื่อเจริญขั้นแรก (primary meristem) คือเนื้อเยื่อเจริญที่เริ่มมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ขยายขนาด ใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น เนื้อเยื่อที่พบ ถัดขึ้นมาจากเนื้อเยื่อโพรเมอริสเตม บริเวณปลายราก
เนื้อเยื่อเจริญขั้นแรก (primary meristem) คือเนื้อเยื่อเจริญที่เริ่มมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง ขยายขนาด ใหญ่ขึ้น แต่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เช่น เนื้อเยื่อที่พบ ถัดขึ้นมาจากเนื้อเยื่อโพรเมอริสเตม บริเวณปลายราก
เนื้อเยื่อเจริญขั้นที่สอง
(secondary
meristem) คือเนื้อเยื่อเจริญที่เกิดจากการแบ่งตัวของ
เนื้อเยื่อถาวร บางชนิด ที่เปลี่ยนแปลงกลับมาเจริญอีกครั้ง
พบมากบริเวณรากและลำต้นของพืชใบเลี้ยงคู่ ได้แก่ เนื้อเยื่อวาสคิวลาร์แคมเบียม
ที่พบบริเวณมัดท่อน้ำท่ออาหารและคอร์กแคมเบียมที่บริเวณคอร์เทก
ของลำต้นเนื้อเยื่อกลุ่มนี้ทำให้ลำต้นและราก มีความหนามากขึ้น
ภาพที่ 4-2 บริเวณเนื้อเยื่อเจริญของลำต้นพืชใบเลี้ยงคู่
ภาพที่ 4-3 เนื้อเยื่อเจริญบริเวณปลายราก
เนื้อเยื่อถาวร(Permanent tissue)
เนื้อเยื่อถาวร(Permanent tissue) เนื้อเยื่อถาวรเกิดจากเนื้อเจริญที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเพื่อทำหน้าที่จำเพาะ
เช่น มีสารไขมัน (wax) มาปกคลุมผิวเซลล์มีขนรูปร่างต่างๆยื่นออกไปจากผิวเซลล์
หรือมีต่อมผลิตน้ำมันเป็นต้น เนื้อเยื่อถาวรไม่มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนอีกแล้ว โดยทั่วไป
สามารถแบ่งเนื้อเยื่อถาวรได้เป็น 3 ประเภท คือ
1. เนื้อเยื่อผิว (surface tissue or protective tissue)
เนื้อเยื่อผิว (surface tissue or protective tissue) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีการจัดเรียงตัวอยู่ชั้นนอกตามส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ลำต้น ราก ใบ อวัยวะสืบพันธุ์ทำหน้าที่ปกคลุมและป้องกันอันตรายในพืช แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เอพิเดอร์มิส (epidermis) และ เพอริเดิร์ม(periderm)
เนื้อเยื่อผิว (surface tissue or protective tissue) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีการจัดเรียงตัวอยู่ชั้นนอกตามส่วนต่างๆ ของพืช เช่น ลำต้น ราก ใบ อวัยวะสืบพันธุ์ทำหน้าที่ปกคลุมและป้องกันอันตรายในพืช แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ เอพิเดอร์มิส (epidermis) และ เพอริเดิร์ม(periderm)
1.1 เอพิเดอร์มิส เป็นเนื้อเยื่อพบทั่วไปตามส่วนต่างๆ
ของพืชที่มีอายุน้อย เซลล์มีการเปลี่ยนแปลง ในลักษณะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับหน้าที่ เช่น
มีสาร พวกคิวติน(cutin) มาเคลือบเพื่อป้องกัน การระเหยของน้ำ
ปากใบซึ่งประกอบด้วย เซลล์คุม (guard cell) และช่องปากใบ (stoma)
เซลล์ที่มี ลักษณะเป็นขนที่เรียกว่าไทรโคม(trichome)มีหน้าที่ขับสารที่เป็นพิษ ป้องกันความร้อนให้แก่พืช หรือเพิ่มพื้นที่ผิว
ในการดูดสารอาหารในรากขนอ่อน เป็นต้นเนื้อเยื่อเอพิเดอร์มิสประกอบด้วย
กลุ่มเซลล์ที่เรียงตัวเพียงชั้นเดียว
ภาพที่ 4-4 ไทรโคมแบบต่างๆ
1.2
เพอริเดิร์ม พบในพืชที่มีอายุมากขึ้น
เกิดจากการแบ่งตัวของเนื้อเยื่อบริเวณเส้นรอบวง ของรากและลำต้น คือ เนื้อเยื่อ คอร์กแคมเบียม
หรือ เฟลโลเจน(phellogen) การแบ่งตัวของเนื้อเยื่อชนิดนี้ทำให้เอพิเดอร์มิส
แตกออก เนื้อเยื่อที่มาแทนที่นี้เรียกว่าเพอริเดอร์ม ซึ่งจัดว่าเป็นการเจริญเติบโต
ทุติยภูมิ(secondarygrowth) ทำให้ลำต้นและรากขยายขนาดขึ้น
เพอร์ริเดิร์มประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ 3 กลุ่ม คือ
ชั้นนอกสุด คือ คอร์ก หรือเฟลเลม (phellem) เซลล์กลุ่มนี้สร้างซูเบอริน(suberin) มาสะสม เหนือผนัง เซลล์เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ เมื่อเซลล์แก่จะตาย และมีอากาศเข้ามาแทนที่ โพรโทพลาสซึม (protoplasm)
ชั้นกลาง คือ กลุ่มเซลล์ เฟลโลเจน ที่ทำหน้าที่สร้างเพอร์เดิร์ม
ชั้นใน คือ เฟลโลเดิร์ม (phelloderm) ซึ่งประกอบด้วย เซลล์พาเรงคิมา(parenchyma) ที่เกิดจากการแบ่งตัวของเฟลโลเจนเข้ามาด้านในนั่นเอง
เพอร์ริเดิร์มประกอบด้วยกลุ่มเซลล์ 3 กลุ่ม คือ
ชั้นนอกสุด คือ คอร์ก หรือเฟลเลม (phellem) เซลล์กลุ่มนี้สร้างซูเบอริน(suberin) มาสะสม เหนือผนัง เซลล์เพื่อป้องกันการระเหยของน้ำ เมื่อเซลล์แก่จะตาย และมีอากาศเข้ามาแทนที่ โพรโทพลาสซึม (protoplasm)
ชั้นกลาง คือ กลุ่มเซลล์ เฟลโลเจน ที่ทำหน้าที่สร้างเพอร์เดิร์ม
ชั้นใน คือ เฟลโลเดิร์ม (phelloderm) ซึ่งประกอบด้วย เซลล์พาเรงคิมา(parenchyma) ที่เกิดจากการแบ่งตัวของเฟลโลเจนเข้ามาด้านในนั่นเอง
ภาพที่ 4-5 ชั้นเนื้อเยื่อเพอริเดิร์ม
วาสคิวลาร์แคมเบียม และเนื้อไม้ของลำต้นพืช
2. เนื้อเยื่อพื้นฐาน (fundamental tissue)
เป็นเนื้อเยื่อส่วนใหญ่ของพืช
สามารถพบได้ตามส่วนต่างๆ ของพืช เนื้อเยื่อพื้นฐานมีหน้าที่สำคัญคือ สร้างและสะสมอาหาร
ค้ำจุนให้ความแข็งแรงกับต้นพืช เนื้อเยื่อพื้นฐานประกอบด้วยเซลล์ 3 ประเภท คือ
2.1
พาเรงคิมา เซลล์มีรูปร่างต่างๆ
กัน แต่ส่วนใหญ่มีผนังเซลล์บางบาง ขนาดความกว้างและความยาว ของเซลล์ใกล้เคียงกัน พบได้ทั่วไปในร่างกายพืชทำหน้าที่สร้างอาหาร
เช่น เซลล์ พาเรงคิมา ที่มีคลอโรฟิลล์อยู่ทำหน้าที่สังเคราะห์ด้วยแสง
บางชนิดทำหน้าที่สะสมอาหารในต้น ราก และเอนโดสเปิร์ม (endosperm)
ของเมล็ด เป็นต้น
ภาพที่ 4-6 เนื้อเยื่อพาเรงคิมา
2.2 คอลเลงคิมา (collenchyma) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีผนังหนาไม่สม่ำเสมทำหน้าที่ให้ความแข็งแรง กับพืช เซลล์มีรูปร่างยาวอยู่ชิดกัน พบมากบริเวณใต้ชั้นเอพิเดอร์มิส ก้านใบ ในรากไม่ค่อยพบมากนัก
2.2 คอลเลงคิมา (collenchyma) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีผนังหนาไม่สม่ำเสมทำหน้าที่ให้ความแข็งแรง กับพืช เซลล์มีรูปร่างยาวอยู่ชิดกัน พบมากบริเวณใต้ชั้นเอพิเดอร์มิส ก้านใบ ในรากไม่ค่อยพบมากนัก
ภาพที่ 4-7 เนื้อเยื่อคอลเลงคิมา
2.3
สเคอเรงคิมา (scherenchyma) เป็นเนื้อเยื่อที่ความแข็งแรง
ผนังหนาช่องว่างภายใน เซลล์น้อย แบ่งเป็น 2 ชนิดคือสเคลอรีด
(sclereid) หรือสโตนเซลล์(stonecell) เซลล์ชนิดนี้
มีลิกนินมาพอกบริเวณผนังเซลล์ และไฟเบอร์ (fiber) ซึ่งเซลล์มีลักษณะยาวและยืดหยุ่นมากกว่า
สเคลอรีด ทั้งสองชนิดมีหน้าที่ให้ความ แข็งแรงแก่ส่วนต่างๆของพืชพบมากตามส่วนแข็งในพืช เช่น เปลือก เมล็ด และกะลามะพร้าว เป็นต้น
สเคลอรีด ทั้งสองชนิดมีหน้าที่ให้ความ แข็งแรงแก่ส่วนต่างๆของพืชพบมากตามส่วนแข็งในพืช เช่น เปลือก เมล็ด และกะลามะพร้าว เป็นต้น
ภาพที่ 4-8 เซลล์สเคอรีดแบบต่างๆ
ภาพที่ 4-9 ภาคตัดขวางของเซลล์ไฟเบอร์
3. เนื้อเยื่อลำเลียง (vascular tissue)
เป็นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่ขนส่งน้ำ
เกลือแร่ อาหารที่สังเคราะห์ขึ้น ไปยังส่วนต่างๆ ของพืชประกอบด้วยเซลล์ ที่มีลักษณะเป็นท่อยาวเรียงตัวต่อกันไปได้แก่
เนื้อเยื่อ 2 ชนิด คือ ไซเลม (xylem) และโฟลเอม (phloem)
ภาพที่ 4-10 เนื้อเยื่อลำเลียงลำต้นพืชใบเลี้ยงเดี่ยว (ลูกศร)
3.1 ไซเลม ทำหน้าลำเลียงน้ำและเกลือแร่จากรากไปยังส่วนต่างๆของพืช ไซเลมประกอบ ไปด้วยกลุ่มเซลล์ 4 ประเภทคือ
1)
เทรคีด (tracheid) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะยาว ปลายแหลมเสี้ยม ผนังเซลล์หนา ขรุขระ
ซึ่งเกิดจากการพอกของสารลิกนินไม่สม่ำเสมอ เมื่อเซลล์โตเต็มที่
ไซโทพลาสซึมและนิวเคลียสจะสลายไปทำให้ภายเซลล์กลวง เหมาะต่อการลำเลียงน้ำ
ผนังเซลล์พบช่องว่าง (pit) กระจายอยู่
ช่องว่างนี้ทำให้เซลล์สามารถลำเลียงน้ำทางด้านข้างไปยังเซลล์ข้างเคียงได้ หน้าที่อย่างหนึ่งของเทรคีด
คือ ช่วยค้ำจุนต้นพืช เนื่องจากเซลล์มีลักษณะที่แข็งแรงมาก
2)
เวสเซล (vessel) เป็นกลุ่มเซลล์ที่มีลักษณะสั้นและกว้างกว่าเทรคีด ปลายเซลล์มีรูพรุน
เซลล์เรียงต่อเนื่องกัน สามารถลำเลียงน้ำได้สะดวกกว่าเทรคีด ผนังเซลล์ขรุขระเนื่องจากการพอก
ของสารลินินเช่นเดียวกับเทรคีด และมีรูเล็กๆ กระจายอยู่ทั่วไป
ทำให้สามารถส่งสารทางด้านข้าง ของเซลล์ได้
3) ไซเลมพาเรงคิมา (xylem
parenchyma) เป็นกลุ่มเซลล์ที่สนับสนุนการเคลื่อนที่ของสาร
ไปทางด้านข้างของไซเลม พบกระจายอยู่ระหว่างเทรคีดและเวสเซลและตามแนวรัศมี
4) ไซเลมไฟเบอร์ (xylem
fiber) เป็นกลุ่มเซลล์ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับไซเล็มและทำหน้าที่สะสม
อาหาร เช่น แป้ง และสารอื่นๆ อีกด้วย
ภาพที่ 4-11 เซลล์เทรคีด และเวสเซล
ภาพที่ 4-12 ไซเลมไฟเบอร์
3.2 โฟลเอม สารมหโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันที่พืชสังเคราะห์ขึ้น จะถูกขนส่งโดยอาศัยกลุ่มเนื้อเยื่อโฟลเอม ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ 4 ประเภท คือ
3.2 โฟลเอม สารมหโมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมันที่พืชสังเคราะห์ขึ้น จะถูกขนส่งโดยอาศัยกลุ่มเนื้อเยื่อโฟลเอม ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ 4 ประเภท คือ
1)
ซีพทิวบ์เมมเบอร์ (sieve
tube member) ประกอบด้วยเซลล์ที่มีลักษณะยาวเป็นท่อต่อกัน
นิวเคลียสสลายไปเมื่อเซลล์เจริญเติบโตเต็มที่แต่ยังคงมี ไซโทพลาสซึมอยู่และทำหน้าที่ลำเลียงสารได้
สันนิษฐานว่าเซลล์ถูกควบคุมโดยนิวเคลียสของคอมพาเนียนเซลล์ (companion
cell) ที่อยู่ข้างเคียง
นอกจากนี้คอมพาเนียนเซลล์ยังทำหน้าที่ให้อาหารแก่ซีพทิวบ์ โดยส่งผ่านทางพลาสโมเดสมาตาอีกด้วย
ปลายเซลล์ซีพทิวบ์มีลักษณะคล้ายตะแกรง เรียกว่า ซีพเพลท (sieve plate)
2) คอมพาเนียนเซลล์ เป็นเซลล์พาเรงไคมาชนิดหนึ่งที่อยู่ติดกับซีพทิวบ์ เป็นเซลล์ที่มีชีวิตตลอด
คอมพาเนียนเซลล์ติดต่อกับซีพทิวบ์ตรงบริเวณช่องที่ผนังเซลล3) โฟลเอมพาเรงคิมา (phloem parenchyma) ทำหน้าที่สะสมสารอินทรีย์ เช่นแป้ง รวมทั้งแทนนิน และเรซิน เซลล์พาเรงไคมาพบกระจายในโฟลเอม ทั้งในแนวตั้งและแนวนอนของรากและลำต้น
4) โฟลเอมไฟเบอร์ (phloem fiber) มีลักษณะยาวมาก ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้กับโฟลเอม โดยเฉพาะโฟลเอมที่มีบริเวณกว้าง
ภาพที่ 4-13 เซลล์ซีพทิวบ์และคอมพาเนียนเซลล์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น