1. การจำลอง DNA
(DNA Replication)
การจำลอง DNA ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดพบว่ามีลักษณะเฉพาะที่เหมือนกันหมดคือใช้สายเก่าเป็นแม่แบบในการสร้างสายใหม่ทุกครั้ง ดังนั้น DNA ใหม่ที่ได้ 2 สายจึงประกอบด้วย โพลีนิว คลีโอไทด์สายเก่า 1 สายและสายใหม่ 1 สาย เรียกการลอกแบบลักษณะนี้ว่าการลอกแบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative replication) (ภาพที่ 3-1)
การจำลอง DNA ในสิ่งมีชีวิตทุกชนิดพบว่ามีลักษณะเฉพาะที่เหมือนกันหมดคือใช้สายเก่าเป็นแม่แบบในการสร้างสายใหม่ทุกครั้ง ดังนั้น DNA ใหม่ที่ได้ 2 สายจึงประกอบด้วย โพลีนิว คลีโอไทด์สายเก่า 1 สายและสายใหม่ 1 สาย เรียกการลอกแบบลักษณะนี้ว่าการลอกแบบกึ่งอนุรักษ์ (semiconservative replication) (ภาพที่ 3-1)
ภาพที่ 3-1 การลอกแบบ DNA แบบกึ่งอนุรักษ์
การจำลอง DNA เป็นการเพิ่มปริมาณสารพันธุกรรมที่เหมือนกันไว้ใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ
ของเซลล์ และเพื่อถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานต่อไปในกระบวนการแบ่งเซลล์ การลอกแบบของ DNA มีขั้นตอนต่างๆ ดังนี้
1. เอนไซม์เฮลิเคส
(helicase) เข้าสลายพันธะไฮโดรเจนที่จุดใดจุดหนึ่งบนเกลียวคู่
(ภาพที่ 3-2) เรียกจุดนี้ว่าทางแยกของการลอกแบบหรือ
เรพลิเคชันฟอร์ค (replication fork)
ภาพที่ 3-2 เอนไซม์เฮลิเคสเริ่มสลายพันธะไฮโดรเจน
2. โปรตีน SSB (Single
Strand Binding protein) เข้ามาเกาะบริเวณสายเดี่ยวที่แยกออกเพื่อป้องกันการพันเกลียวกลับ
(ภาพที่ 3-3)
ภาพที่ 3-3 โปรตีน SSB เข้าเกาะสาย DNA ที่แยกออก
3. เกิดการสร้าง RNA ชิ้นเล็กๆที่เรียกว่า อาร์เอนเอไพรเมอร์ (RNA primer) โดย อาร์เอนเอไพรเมส (RNA primase) ซึ่งไพรเมอร์นี้จะเป็นจุดที่เริ่มต้นการสังเคราะห์
DNA สายใหม่ (ภาพที่ 3-4)
ภาพที่
3-4 การสร้างอาร์เอนเอไพรเมอร์
4. เอนไซม์เอนเอโพลีเมอเรสนำดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์เดียว (deoxyribonucleotide) เข้ามาต่อสายในทิศทาง 5'-3' โดยเชื่อม5ร์เบสที่คู่กันเข้าด้วยกันดีวยพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร์ เมื่อจุดคลายเกลียวเลื่อนขึ้นไปก็จะได้ DNA สายใหม่ที่ยาวขึ้น เรียก DNA สายนี้ว่า สายใหม่ที่นำหน้าการออกแบบ (leading stand) ดังภาพที่ 3-5
4. เอนไซม์เอนเอโพลีเมอเรสนำดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์เดียว (deoxyribonucleotide) เข้ามาต่อสายในทิศทาง 5'-3' โดยเชื่อม5ร์เบสที่คู่กันเข้าด้วยกันดีวยพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร์ เมื่อจุดคลายเกลียวเลื่อนขึ้นไปก็จะได้ DNA สายใหม่ที่ยาวขึ้น เรียก DNA สายนี้ว่า สายใหม่ที่นำหน้าการออกแบบ (leading stand) ดังภาพที่ 3-5
5. เอนไซม์ดีเอนเอโพลีเมอเรสนำดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์เดี่ยว
(deoxyribonucleotide) เข้ามาต่อสายในทิศทาง 5'-3' โดยเชื่อมเบสที่คู่กันเข้าด้วยกันด้วยพันธะไฮโดรเจน และเชื่อมหมู่ฟอสเฟตของแต่ละนิวคลีโอไทด์ให้เป็นพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร์
เมื่อจุดคลายเกลียวเลื่อนขึ้นไปก็จะได้ DNA สายใหม่ที่ยาวขึ้น
เรียก DNA สายนี้ว่า สายใหม่ที่นำหน้าการลอกแบบ (leading
strand) (ภาพที่ 3-5)
ภาพที่ 3-5 การสร้าง DNA สาย leading
5. ในขณะที่เกิดการสังเคราะห์ DNA ขึ้นในสาย leading ก็จะเกิดการสังเคราะห์ DNA ในอีกสายหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามควบคู่กันไปด้วย สำหรับการสังเคราะห์ DNA ในสายตรงกันข้ามนี้เนื่องจากทิศทางการสังเคราะห์เป็นแบบ 5'-3' เสมอ เมื่อจุดคลายเกลียวเลื่อนขึ้น ไพรเมสจะสร้างอาร์เอนเอไพรเมอร์จับกับ DNA แม่แบบอีกสายหนึ่ง จากนั้นดีเอนเอโพลีเมอเรสจึงนำดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์เข้ามาต่อเป็นสายไปทางด้านจุดเริ่มต้นการสร้าง (origin of replication) การทำเช่นนี้เป็นช่วงๆ จะได้เป็นชิ้น DNA สั้นๆ ที่ติดกับอาร์เอนเอไพรเมอร์ เรียกว่า ชิ้นส่วนโอกาซากิ (Okazaki fragment) อยู่ห่างกันเป็นช่วงๆ เรียก DNA สายนี้ว่า สายตามหลัง (lagging strand) (ภาพที่ 3-6)
5. ในขณะที่เกิดการสังเคราะห์ DNA ขึ้นในสาย leading ก็จะเกิดการสังเคราะห์ DNA ในอีกสายหนึ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามควบคู่กันไปด้วย สำหรับการสังเคราะห์ DNA ในสายตรงกันข้ามนี้เนื่องจากทิศทางการสังเคราะห์เป็นแบบ 5'-3' เสมอ เมื่อจุดคลายเกลียวเลื่อนขึ้น ไพรเมสจะสร้างอาร์เอนเอไพรเมอร์จับกับ DNA แม่แบบอีกสายหนึ่ง จากนั้นดีเอนเอโพลีเมอเรสจึงนำดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์เข้ามาต่อเป็นสายไปทางด้านจุดเริ่มต้นการสร้าง (origin of replication) การทำเช่นนี้เป็นช่วงๆ จะได้เป็นชิ้น DNA สั้นๆ ที่ติดกับอาร์เอนเอไพรเมอร์ เรียกว่า ชิ้นส่วนโอกาซากิ (Okazaki fragment) อยู่ห่างกันเป็นช่วงๆ เรียก DNA สายนี้ว่า สายตามหลัง (lagging strand) (ภาพที่ 3-6)
ภาพที่ 3-6 การสร้าง DNA สาย lagging
6. เมื่อการสังเคราะห์ DNA
ดำเนินต่อไป ดีเอนเอโพลีเมอเรสจะมีการกำจัดอาร์เอนเอไพรเมอร์ออกด้วยคุณสมบัติของ
5'-3' เอ็กโซนิวคลีเอส (5'-3' exonuclease) และเติมดีออกซีไรโบนิวคลีโอไทด์ด้วยคุณสมบัติ
5'-3' โพลีเมอเรส และตามด้วยการเชื่อมพันธะฟอสโฟไดเอสเทอร์ของชิ้นส่วนโอกาซากิแต่ละโมเลกุลเข้าด้วยกันด้วยเอนไซม์ไลเกส
(ligase) ในที่สุดได้เป็น DNA ใหม่ 2 โมเลกุล โดยแต่ละโมเลกุลมีการสร้าง สาย leading และ สาย
lagging สายใหม่มีทิศทางการสร้างที่สวนทางกัน (สาย leading
สร้างยาวขึ้นในทิศทางการขยายของ ทางแยกของการลอกแบบ ส่วนสาย lagging
สร้างยาวขึ้นไปทางด้านจุดเริ่มต้นของการสร้าง ซึ่งตรงข้ามกับการขยายของทางแยกของการลอกแบบ)
เชื่อว่าการสร้างสายใหม่ทั้ง 2 สายนี้เกิดขึ้นพร้อมกัน
(ภาพที่ 3-8 )
ภาพที่
3-7 การเชื่อม DNA สาย lagging
ภาพที่
3-8 การทำงานของดีเอนเอโพลีเมอเรส
ในการสร้างสาย lagging และ leading
การคลายเกลียวคู่ของ DNA
ออกจากกันทำให้ส่วนเหนือขึ้นไปขดเป็นเกลียวแน่นขึ้น
ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยเอนไซม์ โทโปไอโซเมอเรสซึ่งจะตัด
DNA สายใดสายหนึ่งเหนือทางแยกของการลอกแบบ เพื่อให้สามารถคลายเกลียวที่แน่นออกได้และเชื่อมต่อใหม่
(ภาพที่ 3-9)
ภาพที่ 3-9 การทำงานของโทโปไอโซเมอเรส
ในการลอกแบบ DNA การขยายของทางแยกของการลอกแบบ (เรพลิเคชันฟอร์ค) จะเป็นแบบ 2 ทิศทางพร้อมกัน (bidirectional DNA replication) ทั้งในโปรคาริโอตและยูคาริโอต
(ภาพที่ 3-10)
ภาพที่
3-10 การลอกแบบ
DNA โดยเรพลิเคชันฟอร์ค เกิด 2 ทิศทางพร้อมกัน
(บน) ในโปรคาริโอตเกิดทีละตำแหน่งในโครโมโซมวงแหวน (ล่าง) ในยูคาริโอตเกิดพร้อมกันหลายตำแหน่งในโครโมโซมแท่ง
2. การคัดลอก DNA (DNA Transcription)
เช่นเดียวกับการลอกแบบเพื่อสร้าง
DNA การคัดลอกเพื่อสร้าง RNA นั้น DNA
จะต้องมีการคลายเกลียวออก และใช้หลักการของการเกิดเบสคู่สม ดังนั้นลำดับเบสบน
RNA จะมีลำดับเบสที่เป็นคู่สมกันกับลำดับเบสบน DNA สายแม่แบบ แต่การสร้าง RNA จะใช้ไรโบนิวคลีโอไทด์เป็นสับสเตรท
(สร้างโดยอาร์เอนเอโพลีเมอเรส) และไม่ต้องการไพรเมอร์
การลอกรหัสเป็นการคัดลอกแบบหนึ่งคือเป็นการสังเคราะห์
mRNA โดยใช้ DNA เป็นแม่แบบ ใน DNA
เกลียวคู่จะใช้สายใดสายหนึ่งเป็นแม่แบบ เรียกว่าสาย template
ส่วนอีกสายที่ไม่ได้ใช้เป็นแม่แบบในการสังเคราะห์ RNA เรียกสาย coding (ภาพที่ 3-11) ขั้นตอนการสังเคราะห์ RNA แบ่งเป็น 3 ขั้นตอนคือ ขั้นเริ่มต้น (initiation) ขั้นต่อสาย (elongation)
และขั้นหยุด (termination)
ภาพที่
3-11 แสดงการคัดลอกจาก
DNA เป็น RNA
DNA ที่พับซ้อนกันแน่นในโครโมโซมจะคลายเกลียวเพื่อให้เกิดการลอกแบบและการคัดลอกได้อย่างไร
Initiation
เป็นขั้นตอนเริ่มต้นที่อาร์เอนเอโพลีเมอเรสจะมาจับกับ DNA สายแม่แบบตรงตำแหน่ง โปรโมเตอร์
(promotor) โดยอาศัยการทำงานร่วมกันของอินนิทิเอชันแฟคเตอร์
(initiation factor) หลายชนิดซึ่งจะมาเกาะบริเวณโปรโมเตอร์ และ เอนฮานเซอร์
(enhancer) ก่อน จากนั้นจะเหนี่ยวนำให้อาร์เอนเอโพลีเมอเรสเข้ามาจับโปรโมเตอร์ได้และทำให้เกลียวคู่ของ
DNA โป่งออกบริเวณที่มีการลอกรหัส
ภาพที่ 3.12 ขั้นตอนเริ่มต้นของการคัดลอกดีเอนเอโดยเอนไซม์อาร์เอนเอโพลีเมอเรส
และแฟคเตอร์ต่างๆ บริเวณโปรโมเตอร์ของ DNA อย่างเป็นลำดับขั้น
ภาพที่ 3.13
การทำงานของทรานสคริปชันแฟกเตอร์ (TF)ในกระบวนการคัดลอกดีเอนเอ
Elongation
เป็นขั้นต่อสาย RNA ให้ยาวขึ้นโดยมีอีลองเกชันแฟกเตอร์
(elongation factor) ช่วยในการสร้าง โดยอาร์เอนเอโพลีเมอเรสทำหน้าที่นำนิวคลีโอไทด์เข้ามาต่อสาย
RNA ในทิศทาง 5'-3' บริเวณปลาย 5'
(ส่วนต้น) ของ RNA ที่กำลังสร้างจะแยกออกจาก DNA
และปล่อยให้ DNA 2 สายพันกันเป็นเกลียวดังเดิม
โดยจะมีเฉพาะช่วงปลาย 3' ช่วงสั้นๆที่กำลังเติมนิวคลีโอไทด์ที่ยังพันอยู่กับ
DNA (ภาพที่ 3-14) และเนื่องจากยีนต่างๆที่ใช้เป็นแม่แบบในการคัดลอกมีตำแหน่งกระจายตัวอยู่บน
DNA ทั้ง 2 สาย ดังนั้นการสังเคราะห์ RNA
สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันได้ในหลายๆยีนบน DNA โมเลกุลเดียวกัน
ภาพที่ 3-14 ขั้นตอนต่อสาย (อีลองเกชัน) ของการคัดลอก
Termination
เป็นขั้นตอนหยุดการสังเคราะห์ RNA โดยอาศัยโครงสร้างร่วมกับเทอร์มิเนเตอร์
(terminator) หรือ รหัสหยุด (termination signal) บน DNA ที่ประกอบด้วยเบส A ต่อกันเป็นจำนวนมากเมื่อ
RNA สร้างมาถึงตำแหน่งนี้ อาร์เอนเอโพลีเมอเรสจะไม่สามารถนำนิวคลีโอไทด์มาจับกับ
DNA แม่แบบได้อีก จึงหยุดการสร้างสาย RNA และจัดโครงสร้าง RNA เป็นรูปห่วง (hairpin
loop) (ภาพที่ 3-15)
ภาพที่
3-15 ขั้นตอนหยุด
(เทอร์มิเนชัน) ของการคัดลอก
"ในการคัดลอก DNA มาเป็น RNA นั้น
มี DNA เพียงสายเดียว (จาก 2 สาย)
ที่สังเคราะห์ RNA ได้" ท่านคิดเห็นอย่างไรกับข้อความนี้
3. การตัดแต่ง RNA (RNA Modification)
หลังจากการสังเคราะห์ได้ RNA
ขึ้นมาแล้วจะมีการตัดแต่งให้สมบูรณ์ โดยใน mRNA จะมีการเติม 7-methyl guanosine triphosphate เข้าไปที่ปลาย
5' (capping) (ภาพที่ 3-16) โดยใช้เอนไซม์กัวนีลิลทรานสเฟอเรส
(guanylyl transferase) และเติมนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสอะดินีน
(A) หลายโมเลกุลเข้าที่ปลาย 3' ที่เรียกว่าโพลีอะดีนิเลชัน
(polyadenylation) (ภาพที่ 3.17) รวมทั้งตัดส่วนอินทรอนทิ้งเพื่อให้ได้
mRNA ที่สมบูรณ์ (intron splicing) (ภาพที่
3.18) จากนั้นจึงนำ RNA ที่สังเคราะห์ได้ส่งออกนอกนิวเคลียสไปสู่ไซโตพลาสซึม
ภาพที่ 3-16
การเติม 7-methyl guanosine triphosphate เข้าที่ปลาย 5'
ของ mRNA
ภาพที่ 3-17 ขั้นตอนเติมนิวคลีโอไทด์ที่มีเบสอะดีนีนหลายโมเลกุล
(โพลีอะดีนิเลชัน) ที่ปลาย 3' ของสาย mRNA
ภาพที่
3-18 การตัดอินทรอนในสาย
mRNA ที่สร้างใหม่ออกเพื่อให้ได้ mRNA ที่สมบูรณ์
4. การแปลรหัส (Translation)
การแปลรหัส (translation) คือการที่ RNA ทำหน้าที่สังเคราะห์โปรตีนซึ่งต้องอาศัย mRNA tRNA rRNA ไรโบโซม
(ribosome) และแฟคเตอร์ต่างๆ mRNA จะทำหน้าที่เป็นแม่แบบ ส่วนไรโบโซมจะแปลรหัสจากลำดับเบสบน mRNA ในทิศ 5'-3' ให้เป็นลำดับกรดอะมิโนในสายโพลีเป็ปไทด์หรือโปรตีน
(จากปลายอะมิโนไปยังปลายคาร์บอกซิล) โดยมี tRNA เป็นตัวนำกรดอะมิโนมาเรียงกันตามลำดับเบสของ mRNA กรดอะมิโนตัวหนึ่งๆจะแปลรหัสมาจากลำดับเบส
3 ดัว เรียก ทริปเพลทโคดอน
(triplet codon)
การแปลรหัสแบ่งเป็น 3 ขั้นตอนเช่นเดียวกับการลอกรหัส
คือ ขั้นเริ่มต้น (initiation) ขั้นต่อสาย
(elongation) และ ขั้นหยุด (termination) (ภาพที่
3-19)
ภาพที่
3-19 แสดงขั้นตอนการแปลรหัสจาก
RNA เป็นโปรตีน
เพราะเหตุใดในกระบวนการสร้างโปรตีน
DNA
จะต้องสร้าง RNA ขึ้นมาก่อน มีกรณีที่ DNA
สร้างโปรตีนโดยตรงหรือไม่
Initiation เป็นการเริ่มต้นการสร้างสายโพลีเป็ปไทด์
เริ่มตั้งแต่การเชื่อมกรดอะมิโนเข้าที่ปลาย 3' ของ tRNA
(ภาพที่ 3-20) โดย tRNA มีส่วนสำคัญ
2 ส่วนคือ ปลาย 3' CCA ทำหน้าที่จับกรดอะมิโนด้วยพันธะโควาเลนท์
(covalent) อีกส่วนหนึ่งเป็นบริเวณซึ่งทำหน้าที่จับกับเบสคู่สม
เรียกแอนติโคดอน (anticodon) กรดอะมิโนแต่ละชนิดจะจับกับ tRNA
ที่ถูกต้องอย่างจำเพาะ โดยการเร่งปฏิกิริยาของเอนไซม์อะมิโนเอซิลทรานสเฟอร์อาร์เอนเอซินทิเทส
(aminoacyl transfer RNA synthethase) (ภาพที่ 3-21) ซึ่งมีหลายชนิด แต่ละชนิดจะจำเพาะกับกรดอะมิโนและ tRNA ตัวหนึ่งๆ
ภาพที่ 3-20
tRNA
ที่แสดงปลาย 3'CCA และปลาย 5' แอนติโคดอน
ภาพที่
3.21 การเชื่อมกรดอะมิโนเข้าที่ปลายแขน
tRNA โดยเอนไซม์อะมิโนเอซิลทรานสเฟอร์อาร์เอนเอซินทิเทส
หลังจากเชื่อมกรดอะมิโนเข้าที่ปลาย
3' ของ tRNA แล้วจึงเกิดการนำกรดอะมิโนมายัง mRNA
โดยไรโบโซม (ภาพที่ 3-22)
ภาพที่ 3-22 tRNA
นำกรดอะมิโนมาเริ่มสร้างโปรตีนโดยใช้แอนติโคดอนประกบกับโคดอนบน
mRNA
Elongation
เป็นขั้นตอนต่อสายโพลีเป็ปไทด์ให้ยาวขึ้นเมื่อไรโบโซมเคลื่อนที่ผ่าน
mRNA โดยมีแฟกเตอร์และเอนไซม์เป็ปติดิลทรานสเฟอเรส (peptidyl
transferase) เชื่อมกรดอะมิโนจาก tRNA ที่อยู่ตำแหน่ง
P site มายังตำแหน่ง A site และเกิดสายโปรตีนยาวขึ้นเรื่อย
ๆ
ภาพที่ 3-23 Elongation ต่อสายโพลีเป็ปไทด์ให้ยาวขึ้น
Termination เป็นขั้นตอนหยุดการสร้างสายโพลีเป็ปไทด์โดยอาศัยโคดอนหยุด
(stop codon) และตัวปลดปล่อย หรือ รีลีสซิงแฟกเตอร์ (releasing
factor) เมื่อไรโบโซมเคลื่อนที่มาถึงโคดอนหยุด (UGA, UAA,
UAG) จะไม่มี tRNA ตัวใดนำกรดอะมิโนเข้ามาต่อสายโพลีเป็ปไทด์
และโดยอาศัยการช่วยเหลือของรีลีสซิงแฟกเตอร์ จึงเกิดการปลดสายโพลีเป็ปไทด์ออกพร้อมทั้งปลดปล่อย
mRNA และไรโบโซม
ภาพที่
3.24 ขั้นตอนการหยุดสร้างโปรตีน
ในการตรวจความแม่น 3 กระบวนการ คือ
การลอกแบบ การคัดลอก และการแปลรหัส ถ้าการตรวจตราเป็นไปอย่างสมบูรณ์ จะไม่มีการกลายพันธุ์
และไม่เกิดวิวัฒนาการ
5. การควบคุมการแสดงออกของยีน (Control
of Gene Expression)
การควบคุมการแสดงออกของยีนเกี่ยวข้องกับกระบวนการกระตุ้นหรือยับยั้งการสังเคราะห์
RNA และโปรตีนของยีนนั้นๆ (หากยีนนั้นมีไว้สำหรับสร้างโปรตีน) โดยอาศัยการเหนี่ยวนำให้เอนไซม์ทำงานด้วยตัวเหนี่ยวนำ
(inducer) และยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ด้วยตัวกดดัน (repressor)
สามารถควบคุมได้ในขั้นตอนการลอกรหัสและการแปลรหัส (ภาพที่ 3-25)
ภาพที่
3-25 การควบคุมการแสดงออกของยีนในขั้นต่างๆ
การตัดแต่ง
mRNA
ถือเป็นการควบคุมการแสดงออกของยีนหรือไม่ ลองหาเหตุผลมาอธิบายว่าทำไมต้องมีการตัดแต่ง
mRNA ในแต่ละขั้น
การควบคุมการสแดงออกของยีนในโปรคาริโอต
การควบคุมการแสดงออกของยีนให้เป็นโปรตีนในโปรคาริโอตจะเกิดในขั้นลอกรหัส
โดยยีนของโปรคาริโอตจะอยู่เป็นกลุ่มติดกันเรียกโอเปอรอน แบ่งเป็นยีนควบคุม
(regulator gene) ยีนส่งเสริม (promoter gene) ยีนดำเนินการ (operator gene) และยีนโครงสร้าง (structural
gene) สำหรับสร้างโปรตีนหรือเอนไซม์ (ภาพที่ 3-26)
ยีนควบคุม มีหน้าที่ควบคุมยีนดำเนินการโดยสร้างตัวกดดันซึ่งสามารถจับกับยีนดำเนินการทำให้เอนไซม์อาร์เอนเอโพลีเมอเรสไม่สามารถสังเคราะห์
RNAได้
ยีนส่งเสริม เป็นตำแหน่งให้เอนไซม์อาร์เอนเอโพลีเมอเรสจับและเคลื่อนที่ไปยังยีนโครงสร้างเพื่อสังเคราะห์
RNA แต่ถ้ามีตัวกดดันจับอยู่ที่ยีนดำเนินการ เอนไซม์อาร์เอนเอโพลีเมอเรสก็จะจับกับยีนส่งเสริมไม่ได้
เป็นการยับยั้งการสังเคราะห์ RNA
ยีนดำเนินการ
อยู่ถัดจากยีนส่งเสริมและอยู่ก่อนหน้ายีนโครงสร้าง เป็นตำแหน่งจับของตัวกดดันในการควบคุมการสังเคราะห์
RNA
ยีนโครงสร้าง
เป็นยีนหลักที่มีข้อมูลทางพันธุกรรมซึ่งจะสร้างโปรตีนโดยตรง การแสดงออกของยีนโครงสร้างจะผ่านทางการควบคุมการทำงานของยีนต่างๆ
ที่กล่าวมาข้างต้น
ตัวอย่างของโอเปอรอนของการสร้างเอนไซม์ที่ใช้อธิบายทั่วไปคือ
แล็คโอเปอรอน (lac operon) และ ทริปโอเปอรอน (trp operon)
การทำงานของแล็กโอเปอรอน (ภาพที่ 3.27) อาศัยตัวเหนี่ยวนำ
ขณะที่ทริปโอเปอรอนทำงานโดยอาศัยตัวกดดัน (ภาพที่ 3.28 )
ภาพที่
3-26 โครงสร้างของโอเปอรอน
ภาพที่
3-27 โครงสร้างของแล็คโอเปอรอน
การควบคุมการแสดงออกของยีนในยูคาริโอต
การควบคุมการแสดงออกของยีนในยูคาริโอตจะซับซ้อนกว่าในโปรคาริโอตมาก
เนื่องจากโครงสร้างโครมาตินมีความซับซ้อน DNA ที่พันอยู่กับโปรตีนมีการขดตัวอย่างหนาแน่น
นอกจากนี้กระบวนการลอกรหัส และแปลรหัสยังเกิดในตำแหน่งที่ต่างกัน กล่าวได้ว่า ในยูคาริโอตมีการควบคุมการแสดงออกของยีนทั้งในขั้นลอกรหัสและแปลรหัส
การควบคุมในขั้นลอกรหัส ได้แก่
การเติมหมู่เมทิล เข้าที่เบส C ของสาย DNA ทำให้การแสดงออกของยีนลดน้อยลงในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม นอกจากนั้นยังมีการควบคุมภายหลังการลอกรหัสได้เป็น
mRNA แล้ว เช่น การดัดแปลงเติมเบส A เข้าที่ปลาย
3' ของ mRNA ในไข่ที่ยังไม่พร้อมปฏิสนธิอาจทำให้เกิดการกระตุ้นให้มีการปฏิสนธิขึ้นได้
การควบคุมในขั้นแปลรหัส ได้แก่
การใช้ตัวกดดันเป็นกลไกในการควบคุม โดยการจับของโปรตีนรีเพรสเซอร์
(repressor protein) ที่จำเพาะกับ mRNA เป็นการยับยั้งการแปลรหัสได้
ตัวอย่างเช่น การยับยั้งการแปลรหัสของเฟอริติน (ferritin) โดย
iron repressive mRNA binding protein ซึ่งตอบสนองต่อเหล็ก
โดยเมื่อมีเหล็กปริมาณน้อย โปรตีนนี้จะสามารถยับยั้งการแปลรหัสได้
6. ยีนมิวเทชัน (Gene
Mutation)
ยีนมิวเทชันหรือการกลายของยีน
คือการที่ยีนมีโครงสร้างผิดปกติไปจึงทำหน้าที่ต่างไปจากเดิม การกลายของยีนมีหลายประเภท
หากแบ่งตามปัจจัยที่ทำให้เกิดได้แก่ รังสี (ภาพที่ 3.29) สารเคมี
(ภาพที่ 3.30) รวมไปถึงจุลินทรีย์ที่เป็นปรสิต เช่นไวรัส
ภาพที่ 3-29
การกลายของยีนเนื่องจากการสัมผัสรังสีอัลตร้าไวโอเล็ต
ภาพที่
3.30 การกลายของยีนเนื่องจากสารเคมีเข้าไปแทรกอยู่ในโมเลกุล DNA
หากแบ่งการกลายของยีนตามลักษณะการเกิดได้แก่
การกลายเนื่องจากการแทนที่เบส (ภาพที่ 3-31) และการขาดหรือเกินของเบส
(ภาพที่ 3-32)
ภาพที่ 3-31 การกลายของยีนเนื่องจากการแทนที่เบส
ภาพที่
3-32 การกลายของยีนเนื่องจากการขาดหรือเกินของเบส
ลองยกตัวอย่างการกลายของยีนประเภทต่างๆ
เพิ่มเติม พร้อมทั้งอธิบายผลที่เกิดขึ้น และหากการกลายลักษณะต่างๆ ที่กล่าวมาเกิดกับ
DNA
ส่วนที่ไม่ใช่ยีนจะมีผลต่างกับการกลายที่เกิดกับยีนอย่างไร
7. การซ่อมแซม DNA (DNA Repair)
การซ่อมแซม DNA เป็นกระบวนการที่เซลล์ใช้รักษาสภาพไว้ให้คงเดิมหลังจากเกิดการกลาย
(มิวเตชัน) ขึ้น ซึ่งการซ่อมแซมนี้มีหลายประเภทขึ้นกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น สามารถแบ่งมิวเทชันเป็นประเภทใหญ่ๆได้
4 ประเภทคือ
โฟโตรีแอคติเวชัน
(photoreactivation repair) เป็นการใช้แสงในช่วงคลื่นที่มองเห็น (visible
light) สลายพันธะไพริมีดีนไดเมอร์ที่เกิดขึ้นในสาย DNA โดยใช้เอนไซม์โฟโตไลเอส (ภาพที่ 3-33)
เอ็กซ์ซิชันรีแพร์ (excision
repair) เป็นกระบวนการตัดพิวรีนไดเมอร์ที่เกิดขึ้นในสาย DNA ทิ้งแล้วนำเบสที่ถูกต้องมาเติม โดยอาศัยเอนไซม์หลายชนิดร่วมกันทำงาน
(ภาพที่ 3-34)
มิสแมทช์รีแพร์
(mismatch repair) เป็นกระบวนการกำจัดเบสที่เข้าคู่ผิดในขณะเกิดการลอกแบบทิ้งไป
แล้วนำเบสที่ถูกต้องมาเข้าคู่แทน (ภาพที่ 3-35)
รีคอมบิเนชันรีแพร์
(recombination repair) เป็นกระบวนการซ่อมแซม DNA ที่เข้าคู่ผิดภายหลังการลอกแบบ โดยอาศัย DNA ในโฮโมโลกัสโครโมโซมที่ถูกต้องเป็นแม่แบบ
(ภาพที่ 3-36)
ภาพที่
3-33 การซ่อมแซมแบบโฟโตรีแอคติเวชัน
(photoreactivation repair)
ภาพที่ 3-34 การซ่อมแซมโดยการตัดออกหรือเอ็กซ์ซิชัน (excision
repair)
ภาพที่ 3-35
การซ่อมแซมส่วนที่จับไม่ตรงคู่หรือมิสแมทช์ (mismatch
repair)
ภาพที่
3-36 การซ่อมแซมโดยการแลกชิ้นส่วนดีเอนเอหรือรีคอมบิเนชัน
(recombination repair)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น