วิวัฒนาการร่วมกัน การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ตัวอย่างเช่น การใช้ไวรัสเพื่อการควบคุมประชากรกระต่ายในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีผู้นำเอากระต่ายเลี้ยงจากประเทศอังกฤษเข้าไปเลี้ยงในประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และไม่มีศัตรูทำลายกระต่ายจึงทำให้ประชากรกระต่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากอย่างน่าตกใจจนทำให้กระต่ายเหล่านั้นเป็นตัวทำลายพืชผลของเกษตรกรชาวออสเตรเลียไปโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาทางกำจัด หรือควบคุมประชากรกระต่ายโดยใช้ไวรัสพวกมิกโซมาโทซิส (myxxomatosis) ซึ่งทำให้เกิดโรคในกระต่ายอย่างรุนแรงจนถึงตายได้ ทำให้การควบคุมประชากรกระต่ายดังกล่าวได้ผลดียิ่ง โดยมีอัตราการตายของกระต่ายสูงถึงเกือบร้อยละ 99 ในระยะเริ่มต้นของการปล่อยเชื้อไวรัสซึ่งยังความปิติให้แก่นักวิชาการและประชาชนทั่วไปที่คิดว่าประสบความสำเร็จ แต่ก็ดีใจไม่ได้นานเพราะพวกกระต่ายที่สามารถพัฒนาภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัสและสามารถรอดตายจากโรคร้ายที่เกิดจากไวรัสนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ และยังคงมีกระต่ายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากยุโรปอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ เหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับประชากรกระต่ายดังกล่าวสามารถอธิบายได้โดยหลักวิวัฒนาการ คือ มีการคัดเลือกตามธรรมชาติเกิดขึ้นกับพันธุ์กระต่ายที่สามารถทนทานต่อเชื้อไวรัสนั้นได้ ในขณะเดียวกันการคัดเลือกตามธรรมชาติก็เกิดขึ้นกับเชื้อไวรัสมิกโซมาโทซิสโดยการพัฒนาเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ที่มีฤทธิ์รุนแรงต่อกระต่ายตามติดไปด้วย ซึ่งลักษณะพันธุกรรมที่มีฤทธิ์รุนแรงจะถ่ายทอดจากกระต่ายตัวหนึ่งสู่อีกตัวหนึ่งโดยอาศัยยุงเป็นพาหะ ไวรัสพันธุ์ที่ไม่รุนแรงมากนักจนถึงกับทำให้กระต่ายตายก็จะสามารถดำรงพันธุ์ต่อไปได้โดยถูกถ่ายทอดไปสู่กระต่ายตัวอื่นต่อไปโดยอาศัยยุงที่เป็นพาหะที่มากินเลือดกระต่ายตัวที่ป่วยด้วยไวรัสนั้น ในขณะที่ไวรัสพันธุ์รุนแรงมาก ๆ จนถึงกับเป็นอันตรายต่อชีวิตกระต่ายก็มักจะไม่ค่อยถ่ายทอดต่อไปยังกระต่ายตัวอื่น เพราะยุงที่เป็นพาหะนั้นจะดูดกินเลือดจากกระต่ายที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น ดังนั้นการคัดเลือกตามธรรมชาติที่เกิดขึ้นกับพันธุ์กระต่ายที่ต้านทานเชื้อไวรัสและที่เกิดขึ้นกับพันธุ์ไวรัสชนิดที่ไม่รุนแรงจนถึงกับทำให้กระต่ายตายนั้นส่งผลให้กระต่ายและไวรัสสามารถปรับตัวร่วมกันและวิวัฒนาการร่วมกันมาได้จนถึงสภาวะสมดุลดังที่เป็นอยู่ในประเทศออสเตรเลียขณะนี้
coevolution
การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคและหนองหรือฝีต่าง ๆ อันเนื่องจากการคัดตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย นอกจาการปรับตัวของเชื้อแบคมีเรียชนิดที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องเองแล้วยังพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะผสมเจือปนในอาหารสัตว์เลี้ยง ก็มีส่วนช่วยให้แบคทีเรียที่อยู่ในส่วนของลำไส้คนสามารถพัฒนาการดื้อยาปฏิชีวนะได้อีกทางหนึ่งด้วย ฉะนั้นในบางประเทศจึงมีข้อห้ามมิให้นำเอายาปฏิชีวนะชนิดที่ใช้สำหรับบำบัดรักษาโรคติดเชื้อในคนไปใช้ผสมเจือปนในอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว เพื่อป้องกันมิให้เชื้อแบคทีเรียชนิดก่อให้เกิดโรคในคนด้วยนั้นพัฒนาปรับตัวดื้อยาปฏิชีวนะนั้นได้อีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามอาจยังโชคดีอยู่บ้างที่เชื้อแบคทีเรียบางชนิดก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงวิวัฒนาการปรับตัวให้ดื้อยาได้ง่ายนักเหมือนอย่างชนิดดังกล่าวมาแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังคงกังขาในคุณสมบัติของพันธุกรรมที่แตกต่างกันระหว่างแบคทีเรียชนิดต่าง ๆ กัน เป็นที่น่าสังเกตว่าเชื้อแบคทีเรียส่วนใหญ่จะสามารถปรับตัวดื้อยาปฏิชีวนะที่นักวิทยาศาสตร์ได้พัฒนาและสังเคราะห์ขึ้นมา ยกเว้นเพนิซิลลินซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะทางธรรมชาติชนิดแรกที่ถูกนำมาใช้ทางการแพทย์และยังคงมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงทุกวันนี้
การดื้อสารฆ่าแมลง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีนำสารเคมีที่เรารู้จักกันดีคือ ดีดีที ที่นำมาใช้ฆ่าแมลงด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ว่าจะสามารถใช้ปราบแมลงศัตรูพืชและแมลงพาหะชนิดต่าง ๆ ให้ราบคาบแต่พอเริ่มนำมาใช้ในไม่ช้าไม่นาน ก็พบว่าแมลงวันบ้านเริ่มมีการดื้อยาดีดีทีในปี พ.ศ. 2489 และอีก 2 ปีต่อมาก็พบว่ามีแมลงไม่น้อยกว่า 12 สปีชีส์ สามารถดื้อสารดีดีทีได้อีกซึ่งเริ่มสร้างความกังวลให้แก่นักวิชาการได้บ้างในขณะนั้นและพยายามติดตามผลการดื้อสารดีดีทีของแมลงชนิดต่าง ๆ จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2509 ก็พบว่ามีแมลงดื้อสารดีดีทีมีมากมายถึง 165 สปีชีส์ หรือมากกว่านี้ ในกรณีนี้ถือว่า ดีดีที เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดแรงกดดันทางการคัดเลือกตามธรรมชาติให้แก่แมลงพวกที่มีพันธุกรรมหรือยีนที่มีคุณสมบัติในการดื้อสารดีดีที โดยเฉพาะยีนที่ควบคุมการสร้างเอนไซม์ย่อยสลายสารดีดีที ได้ในร่างกายของแมลงก่อนที่ยานี้จะออกฤทธิ์ เนื่องจากดีดีทีเป็นสารที่มีฤทธิ์ตกค้างและสร้างความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตนานาชนิดรวมทั้งมนุษย์ด้วยและก่อให้เกิดมลภาวะอย่างมากมาย จึงมีการลดบทบาทการใช้สารดีดีทีลงตามลำดับ และขีดวงการใช้ยาดีดีที อย่างจำกัดภายใต้การควบคุมดูแลอย่างใกล้ชิด บทเรียนจากสารดีดีทีช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากสำหรับการนำสารเคมีใหม่ ๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคือการนำสารเคมีหรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ทั้งในด้านการเกษตรและการแพทย์ ตามแบบเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมานานในสังคมชาวตะวันออก
ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์ สืบค้นข้อมูลเพื่อช่วยกันหาคำตอบจากคำถามต่อไปนี้
1. นักเรียนคิดว่าสารฆ่าแมลงมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากรอย่างไร และสิ่งที่ทำให้เกิดการคัดเลือกในประชากรแมลงคืออะไร ?
คำตอบ แมลงที่ไม่มียีนต้านทานสารฆ่าแมลงจะตายไป ส่วนแมลงที่มียีนต้านทานสารฆ่าแมลงก็ยังคงมีชีวิตอยู่ และสืบทอดยีนนี้ให้แก่ลูกหลานต่อไป ฉะนั้นยีนบางยีนถูกคัดทิ้งส่วนยีนที่เหลืออยู่ก็จะมีมากขึ้นในประชากรแมลง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความถี่ของแอลลีลในประชากร
2. ถ้านักเรียนเป็นเกษตรกรจะมีวิธีหลีกเลี่ยงการใช้สารฆ่าแมลงอย่างไร ?
คำตอบ ใช้สิ่งมีชีวิตที่เป็นผู้ล่าหรือศัตรูของแมลงนั้นกำจัดแมลง จะทำให้จำนวนของแมลงลดลงเรียกว่า ชีววิธี
3. นักเรียนคิดว่าควรปฏิบัติตนอย่างไร เพื่อป้องกันการดื้อยาของแบคทีเรีย ?
คำตอบ ทานยาปฏิชีวนะให้ครบตามที่แพทย์สั่งเพื่อป้องกันการดื้อยาของแบคทีเรีย
4. นักเรียนคิดว่าการดื้อยาของแบคทีเรียเป็นกลไกการเกิดวิวัฒนาการหรือไม่ เพราะเหตุใด ?
คำตอบ เป็นเนื่องจากแบคทีเรียที่ไม่มียีนต้านทานต่อยาปฏิชีวนะจะตายไป ขณะที่แบคทีเรียที่มียีนต้านทานยาปฏิชีวนะจะยังคงมีชีวิตอยู่และสืบทอดลักษณะดังกล่าวนี้ไปยังรุ่นต่อๆ ไป ทำให้แบคทีเรียมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลงไป หรือเกิดวิวัฒนาการ
ขอบคุนมากเรยค่ะ
ตอบลบthanks
ลบนางสาวพัชรินทร์ บริหาร เลขที่ 28 ม.6/2
ตอบลบสรุป การพัฒนากับวิวัฒนาการ เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่น
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
นางสาวประภัสรา เนื่องขันตรี ชั้น ม.6/2 เลขที่ 36
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลงเช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้นเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆมาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน
2. การดื้อยาปฏิชีวนะยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย)ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
น.ส.สุพัตรา เขตเวียง ม.6/2 เลขที่ 24
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
- การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
- การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวเจนจิรา ภารนาถ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 34
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
วิวัฒนาการร่วมกัน การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
การดื้อสารฆ่าแมลง
บทเรียนจากสารดีดีทีช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมากสำหรับการนำสารเคมีใหม่ ๆ ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมคือการนำสารเคมีหรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ทั้งในด้านการเกษตรและการแพทย์ ตามแบบเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีมานานในสังคมชาวตะวันออก
ตรวจแล้ว
ลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
ตอบลบตัวอย่างเช่น การใช้ไวรัสเพื่อการควบคุมประชากรกระต่ายในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีผู้นำเอากระต่ายเลี้ยงจากประเทศอังกฤษเข้าไปเลี้ยงในประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และไม่มีศัตรูทำลายกระต่ายจึงทำให้ประชากรกระต่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากอย่างน่าตกใจจนทำให้กระต่ายเหล่านั้นเป็นตัวทำลายพืชผลของเกษตรกรชาวออสเตรเลียไปโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาทางกำจัด หรือควบคุมประชากรกระต่ายโดยใช้ไวรัสพวกมิกโซมาโทซิส (myxxomatosis) ซึ่งทำให้เกิดโรคในกระต่ายอย่างรุนแรงจนถึงตายได้ ทำให้การควบคุมประชากรกระต่ายดังกล่าวได้ผลดียิ่ง โดยมีอัตราการตายของกระต่ายสูงถึงเกือบร้อยละ 99 ในระยะเริ่มต้นของการปล่อยเชื้อไวรัสซึ่งยังความปิติให้แก่นักวิชาการ
นายกฤษฎา โนวะ เลขที่ 1 ม.6/2
ตรวจแล้ว
ลบนายสิทธิศักดิ์ ประทุมชาติ เลขที่ 13 ม. 6/2
ตอบลบวิวัฒนาการร่วมกัน การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคและหนองหรือฝีต่าง ๆ
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวกาญนาพร แสนชมภู ม6/2 เลขที่32
ตอบลบวิวัฒนาการ คือ กระบวนการเปลี่ยนแปลงหรือคลี่คลายไปสู่ภาวะที่ดีขึ้นหรือเจริญขึ้น เช่น วิวัฒนาการ
แห่งมนุษยชาติ วิวัฒนาการแห่งศิลปวัฒนธรรม เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ในระยะยาวนานและต่อเนื่อง
ส่วน
พัฒนาการ คือ การทําความเจริญ, การเปลี่ยนแปลงในทางเจริญขึ้น, การคลี่คลายไปในทางดี เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ระยะสั้นกว่า เห็นผลเร็วกว่า
น.ส.พชรพร ศิลาพัฒน์ ม. 6/2 เลขที่ 37
ตอบลบการวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
การดื้อสารฆ่าแมลง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีนำสารเคมีที่เรารู้จักกันดีคือ ดีดีที ที่นำมาใช้ฆ่าแมลงด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ว่าจะสามารถใช้ปราบแมลงศัตรูพืชและแมลงพาหะชนิดต่าง ๆ ให้ราบคาบแต่พอเริ่มนำมาใช้ในไม่ช้าไม่นาน ก็พบว่าแมลงวันบ้านเริ่มมีการดื้อยาดีดีทีในปี พ.ศ. 2489
นางสาวตรีรัตน์ ดวงวิสุ่ย เลขที่ 44 ชั้น ม.6/2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่น
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
ตรวจแล้ว
ลบน.ส.กิตติมา ทานนท์ เลขที่ 20 ชั้น ม.6/2
ตอบลบสรุป : การพัฒนาการกับวิวัฒนาการ
การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
- เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง
- การดื้อสารฆ่าแมลง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีนำสารเคมีที่เรารู้จักกันดีคือ ดีดีที ที่นำมาใช้ฆ่าแมลงด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ว่าจะสามารถใช้ปราบแมลงศัตรูพืชและแมลงพาหะชนิดต่าง ๆ ให้ราบคาบแต่พอเริ่มนำมาใช้ในไม่ช้าไม่นาน ก็พบว่าแมลงวันบ้านเริ่มมีการดื้อยาดีดีทีในปี พ.ศ. 2489และอีก 2 ปีต่อมาก็พบว่ามีแมลงไม่น้อยกว่า 12 สปีชีส์ สามารถดื้อสารดีดีทีได้อีก
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวเพ็ญนภา โยธาฤทธิ์ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 39
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง เช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆ มาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน (สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ
ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรีย ดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย) ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตรวจแล้ว
ลบเชื้อโรคที่ดื้อยา
ตอบลบยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง
การดื้อสารฆ่าแมลง
หลังสงครามโลกครั้งที่สองได้มีนำสารเคมีที่เรารู้จักกันดีคือ ดีดีที ที่นำมาใช้ฆ่าแมลงด้วยความหวังอันยิ่งใหญ่ว่าจะสามารถใช้ปราบแมลงศัตรูพืชและแมลงพาหะชนิดต่าง ๆ ให้ราบคาบแต่พอเริ่มนำมาใช้ในไม่ช้าไม่นาน ก็พบว่าแมลงวันบ้านเริ่มมีการดื้อยาดีดีทีในปี พ.ศ. 2489
นายอนุพงค์ อุตมสีขันธ์ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 14
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวจริยา ปรึกไธสง เลขที่33 ม. 6/2
ตอบลบ1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง
เช่น การใช้สารเคมีมาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น
เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆมาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่นชาวไทยและชาวเอเชียทั้งหลาย
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ
ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรีย
ดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย)
ตรวจแล้ว
ลบนายกิตติ โคตะวินนท์ ชั้น ม. 6/2 เลขที่6
ตอบลบตามหลักทางพันธุศาสตร์ สิ่งมีชีวิตจะต้องเกิดจากสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน หรือเกิดจากสิ่งมีชีวิต สปีชีส์ (species) เดียวกัน ลักษณะ ทางพันธุกรรมจะถ่ายทอดจากบรรพบุรุษสู่ลูกหลานรุ่นต่อๆ มาโดยผ่านทางเซลล์สืบพันธุ์ซึ่งมีหน่วยพันธุรรมที่เรียกว่า ยีน (gene) เป็นตัวกำหนดลักษณะเช่นรูปร่างและหน้าที่ ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสิ่งมีชีวิต ยีนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมีการผันแปรของหน่วยพันธุกรรมเกิดขึ้น จะเห็นได้จากพืชหรือสัตว์ที่มีลักษณะผิดแผกไปจากพ่อแม่ เรียกว่า การผ่าเหล่า หรือ มิวเตชั่น (mutation) ซึ่งอาจได้ลักษณะที่ดีกว่าพ่อแม่ หรืออาจได้ลักษณะที่ไม่ดีเท่าพ่อแม่ก็ได้
ในปัจจุบันมีสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมากมายหลายสปีชีส์ นอกจากเกิดจากการผ่าเหล่าแล้วอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น สภาพการดื้อยา ( chemical resistance ) เป็นต้นสภาพดื้อยา (Chemical resistance) ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่นแบคทีเรียชนิด Escherichia coli
ดื้อยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และแมลงหวี่ Drosophilia melanogaster ดื้อยา ดีดีที สัตว์ทั้งสองนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน คือเมื่อได้รับยาครั้งแรกแบคทีเรียและแมลงหวี่ส่วนใหญ่จะตาย ส่วนน้อยที่เหลืออยู่รอดจะสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนอีกหลายชั่วรุ่น ได้ประชากรที่ไม่ตายเพราะพิษของยาอีก เป็นเพราะประชากรส่วนน้อยที่เหลืออยู่ในระยะแรกสามารถต้านทานยาได้ทำให้ไม่ตายหรือรับยาปริมาณน้อยทำให้ยีนเกิดการเปลี่ยนแปลง แบคทีเรียและแมลงหวี่ที่รอดตายจะถ่ายทอดลักษณะต้านทานยาให้กับลูกหลานรุ่นต่อมา ทำให้ลูกหลานรุ่นหลังไม่ตายแม้จะได้รับยา เรียกสภาพนี้ว่าการดื้อยา
การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
ตอบลบการวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
นายวาสุเทพ คำไสย์ ม.6/2 เลขที่ 12
นายชินภัทร ลับแล เลขที่ 4 ม. 6/2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
จะเห็นได้ว่าปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโนลีนั้นก้าวหน้า สิ่งที่สามารถลดหรือแก้ปัญหาที่เกิดขึนจึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ทั้งสารฆ่าแมลง สารเร่งการเติบโต ยาปฏิชีวนะต่างๆ รวมไปถึงสารอาหารที่เรารับประทานกันในปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ลดปัญหา เพิ่มศักยภาพการอยู่รอดให้กับสรรพสัตว์ได้ แต่ในอนาคตอาจเกิดการดื้อยา การทนต่อสภาพที่ถูกบีบบังคับของเชื้อโรคต่างๆที่เราฝ้ากำจัดอยู่ในปัจจุบันก็เป้นได้
ตรวจแล้ว
ลบน.ส.มินตรา โลหะพรม ม.6/2 เลขที่ 41
ตอบลบวิวัฒนาการ (อังกฤษ: Evolution) คือการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมในประชากรของสิ่งมีชีวิต จากรุ่นหนึ่งสู่รุ่นหนึ่ง วิวัฒนาการเกิดจากกระบวนการหลัก 3 กระบวนการ ได้แก่ ความแปรผัน การสืบพันธุ์ และการคัดเลือก โดยอาศัยยีนเป็นตัวกลางในการส่งผ่านลักษณะทางพันธุกรรม อันเป็นพื้นฐานของการเกิดวิวัฒนาการ ลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นในประชากรเพื่อให้เกิดความแปรผันทางพันธุกรรมเมื่อสิ่งมีชีวิตให้กำเนิดลูกหลานย่อมเกิดลักษณะใหม่ หรือเปลี่ยนแปลงลักษณะเดิม โดยลักษณะใหม่ที่เกิดขึ้นนี้มีสาเหตุสำคัญ 2 ประการ ประการหนึ่ง เกิดจากกระบวนการกลายพันธุ์ของยีน และอีกประการหนึ่ง เกิดจากการแลกเปลี่ยนยีนระหว่างประชากร และระหว่างสปีชีส์ กลไกในการเกิดวิวัฒนาการแบ่งได้ 2 กลไก กลไกหนึ่งคือการคัดเลือกโดยธรรมชาติ (natural selection) อันเป็นกระบวนการคัดเลือกสิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะเหมาะสมที่จะอยู่รอด และสืบพันธุ์จนได้ลักษณะที่เหมาะสมที่สุด และลักษณะที่ไม่เหมาะสมจะเหลือน้อยลง กลไกที่สองในการขับเคลื่อนกระบวนการวิวัฒนาการคือการแปรผันทางพันธุกรรม (genetic drift) อันเป็นกระบวนการอิสระจากการคัดเลือกความถี่ของยีนประชากรแบบสุ่ม การแปรผันทางพันธุกรรมเป็นผลมาจากการอยู่รอด และการสืบพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต แม้ว่าการแปรผันทางพันธุกรรมในแต่ละรุ่นนั้นจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่ลักษณะเหล่านี้จะสะสมจากรุ่นสู่รุ่น เกิดการเปลี่ยนแปลงทีละเล็กละน้อยในสิ่งมีชีวิต จนกระทั่งเวลาผ่านไปเป็นระยะเวลานาน
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวพรพรรณ กาวี เลขที่ 38 ม.6/2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
ในปัจจุบันวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากขึ้น และสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมากมายหลายสปีชีส์ นอกจากเกิดจากการผ่าเหล่าแล้วอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น สภาพดื้อยา (Chemical resistance) ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่นแบคทีเรียชนิด Escherichia coli ดื้อยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และแมลงหวี่ Drosophilia melanogaster ดื้อยา ดีดีที สัตว์ทั้งสองนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน คือเมื่อได้รับยาครั้งแรกแบคทีเรียและแมลงหวี่ส่วนใหญ่จะตาย ส่วนน้อยที่เหลืออยู่รอดจะสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนอีกหลายชั่วรุ่น ได้ประชากรที่ไม่ตายเพราะพิษของยาเรียกสภาพนี้ว่าการดื้อยา
ตรวจแล้ว
ลบนายอภินันท์ การสวน ม.6/2 เลขที่ 16
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่น
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง
เช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้นเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆ มาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน (สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติ ที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น ชาวไทยและชาวเอเชียทั้งหลาย
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ
ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรีย ดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย) ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวสุทธิกานต์ ลายโถ เลขที่17 ม.6/2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ การดื้อสารฆ่าแมลง และการดื้อยาปฏิชีวนะ
. การพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้
ตรวจแล้ว
ลบนายภิสิทธิ์ เพียกคะ ชั้น ม.6/2 เลขที่ 11
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
นางสาวอภิญญา โคตะวินนท์ เลขที่ 25 ชั้น ม.6/2
ตอบลบสรุป 1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง
เช่น การใช้สารเคมีมาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น
เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆมาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่นชาวไทยและชาวเอเชียทั้งหลาย
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ
ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรีย
ดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย)
ตรวจแล้ว
ลบความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนางสาวละอองดาว มาตช่วง เลขที่ 46 ชั้น ม.6/2
ตอบลบสรุป 1.การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
2.การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวชไมพร ภักสินิสิทธิ์ เลขที่ 35 ชั้น ม.6/2
ตอบลบสรุป 1.การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
2.การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง
ตอบลบเช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น
เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆ
มาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน (สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่นชาวไทยและชาวเอเชียทั้งหลาย
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย) ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวสุดารัตน์ เทียมทนงค์ ม.6/2 เลขที่48
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
ตรวจแล้ว
ลบน.ส.ชัชฎาภรณ์ วริวรรณ เลขที่ 52 ม.6/2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย ได้แก่
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลงเช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น 2. การดื้อยาปฏิชีวนะ ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย)ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ตรวจแล้ว
ลบน.ส.ศศินีย์ โคตะวินนท์ เลขที่23 ม6/2.
ตอบลบวิวัฒนาการร่วมกัน การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การใช้ไวรัสเพื่อการควบคุมประชากรกระต่ายในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีผู้นำเอากระต่ายเลี้ยงจากประเทศอังกฤษเข้าไปเลี้ยงในประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และไม่มีศัตรูทำลายกระต่ายจึงทำให้ประชากรกระต่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากอย่างน่าตกใจจนทำให้กระต่ายเหล่านั้นเป็นตัวทำลายพืชผลของเกษตรกรชาวออสเตรเลียไปโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาทางกำจัด หรือควบคุมประชากรกระต่ายโดยใช้ไวรัสพวกมิกโซมาโทซิส
ตรวจแล้ว
ลบน.ส.ศิลาลักษณ์ ตรีเหลา ม.6/2 เลขที่ 31
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
ตรวจแล้ว
ลบนางสาววราภรณ์ เทศารินทร์ เลขที่ 47 ม.6/2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย
การดื้อสารฆ่าแมลง
มนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะ
การใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวพัชราภรณ์ วังนันท์ ม.6/2 เลขที่18
ตอบลบเชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคและหนองหรือฝีต่าง ๆ อันเนื่องจากการคัดตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย นอกจาการปรับตัวของเชื้อแบคมีเรียชนิดที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องเองแล้วยังพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะผสมเจือปนในอาหารสัตว์เลี้ยง ก็มีส่วนช่วยให้แบคทีเรียที่อยู่ในส่วนของลำไส้คนสามารถพัฒนาการดื้อยาปฏิชีวนะได้อีกทางหนึ่งด้วย ฉะนั้นในบางประเทศจึงมีข้อห้ามมิให้นำเอายาปฏิชีวนะชนิดที่ใช้สำหรับบำบัดรักษาโรคติดเชื้อในคนไปใช้ผสมเจือปนในอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว เพื่อป้องกันมิให้เชื้อแบคทีเรียชนิดก่อให้เกิดโรคในคนด้วยนั้นพัฒนาปรับตัวดื้อยาปฏิชีวนะนั้นได้อีกทางหนึ่ง
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวอรุณลักษณ์ ฆารละออง ม.6/2 เลขที่ 42
ตอบลบ1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง
ดีดีที เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดแรงกดดันทางการคัดเลือกตามธรรมชาติให้แก่แมลงพวกที่มีพันธุกรรมหรือยีนที่มีคุณสมบัติในการดื้อสารดีดีที โดยเฉพาะยีนที่ควบคุมการสร้างเอนไซม์ย่อยสลายสารดีดีที ได้ในร่างกายของแมลงก่อนที่ยานี้จะออกฤทธิ์ เนื่องจากดีดีทีเป็นสารที่มีฤทธิ์ตกค้างและสร้างความเสียหายรุนแรงต่อสิ่งมีชีวิตนานาชนิดรวมทั้งมนุษย์ด้วยและก่อให้เกิดมลภาวะอย่างมากมาย
2. การดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคและหนองหรือฝีต่าง ๆ อันเนื่องจากการคัดตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวศิรินาท คำไชยโย ชั้นม.6/2 เลขที่ 30
ตอบลบการวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution) อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์(host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
-เชื้อโรคที่ดื้อยา
เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคและหนองหรือฝีต่าง ๆ อันเนื่องจากการคัดตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย
นายทิวา พุทธสาราษฎร์ ชั้น ม. 6/2 เลขที่ 8 การวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution)
ตอบลบอาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
ตรวจแล้ว
ลบนางสาวหัตทยา จรนามน เลขที่ 49 ชั้น ม.6/2
ตอบลบสรุปว่า การพัฒนากับวิวัฒนาการ เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่นการดื้อสารฆ่าแมลงมนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะการใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
นางสาวจุฬารัตน์ มิคะ ม.6/7 เลขที่ 20
ตอบลบ#การพัฒนากับวิวัฒนาการ#
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด เช่น แบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคปอดท้องหรือท้องร่วง แบคทีเรียที่ทำให้เกิดวัณโรคและหนองหรือฝีต่าง ๆ อันเนื่องจากการคัดตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย นอกจาการปรับตัวของเชื้อแบคมีเรียชนิดที่ทำให้เกิดอาการปวดท้องเองแล้วยังพบว่าการใช้ยาปฏิชีวนะผสมเจือปนในอาหารสัตว์เลี้ยง ก็มีส่วนช่วยให้แบคทีเรียที่อยู่ในส่วนของลำไส้คนสามารถพัฒนาการดื้อยาปฏิชีวนะได้อีกทางหนึ่งด้วย ฉะนั้นในบางประเทศจึงมีข้อห้ามมิให้นำเอายาปฏิชีวนะชนิดที่ใช้สำหรับบำบัดรักษาโรคติดเชื้อในคนไปใช้ผสมเจือปนในอาหารเลี้ยงสัตว์ เช่น วัว เพื่อป้องกันมิให้เชื้อแบคทีเรียชนิดก่อให้เกิดโรคในคนด้วยนั้นพัฒนาปรับตัวดื้อยาปฏิชีวนะนั้นได้อีกทางหนึ่ง
นายกรวิทย์ จงมีสัตย์ ชั้น ม.6/7 เลขที่ 1***#การพัฒนากับวิวัฒนาการ#**
ตอบลบการวิวัฒนาการร่วมกัน (coevolution)
อาจเกิดขึ้นรวดเร็วพอที่นักวิทยาศาสตร์จะสามารถศึกษาติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ชัดเจน โดยเฉพาะในกรณีที่มนุษย์ไปรบกวนกระบวนการวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
การวิวัฒนาการร่วมกันมักพบบ่อยอยู่เสมอ ๆ ในเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัสกับพืช หรือสัตว์ที่ถูกอาศัย ที่เรียกว่า โฮสต์ (host) แม้กระทั่งไวรัสชนิดที่ทำให้เกิดโรคเอดส์ คือ HIV ไวรัสกลุ่มนี้ก็คงจะอยู่ในระหว่างกระบวนคัดเลือกตามธรรมชาติและการปรับตัวไปพร้อม ๆ กันกับการปรับตัวของมนุษย์ในเชิงการพัฒนาภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านกับภัยจากเชื้อไวรัสเอดส์ซึ่งต้องใช้เวลาพอสมควร
เชื้อโรคที่ดื้อยา
ยารักษาโรคและยาปฏิชีวนะที่ถูกนำมาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีตก็สร้างปัญหาให้แก่วงการแพทย์เช่นเดียวกัน เพราะการปรับตัวดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด
นางสาวอภัสรา ลุนใต้ ชั้น ม.6/7 เลขที่ 18
ตอบลบ***การพัฒนากับวิวัฒนาการ****
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง เช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆ มาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน (สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ
ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรีย ดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย) ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
***นายอภิสิทธิ์ มังคะรัตน์ ม6/7 เลขที่ 3***
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
การใช้ไวรัสเพื่อการควบคุมประชากรกระต่ายในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีผู้นำเอากระต่ายเลี้ยงจากประเทศอังกฤษเข้าไปเลี้ยงในประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และไม่มีศัตรูทำลายกระต่ายจึงทำให้ประชากรกระต่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากอย่างน่าตกใจจนทำให้กระต่ายเหล่านั้นเป็นตัวทำลายพืชผลของเกษตรกรชาวออสเตรเลียไปโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาทางกำจัด หรือควบคุมประชากรกระต่ายโดยใช้ไวรัสพวกมิกโซมาโทซิส (myxxomatosis) ซึ่งทำให้เกิดโรคในกระต่ายอย่างรุนแรงจนถึงตายได้ ทำให้การควบคุมประชากรกระต่ายดังกล่าวได้ผลดียิ่ง โดยมีอัตราการตายของกระต่ายสูงถึงเกือบร้อยละ 99 ในระยะเริ่มต้นของการปล่อยเชื้อไวรัสซึ่งยังความปิติให้แก่นักวิชาการและประชาชนทั่วไปที่คิดว่าประสบความสำเร็จ แต่ก็ดีใจไม่ได้นานเพราะพวกกระต่ายที่สามารถพัฒนาภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัสและสามารถรอดตายจากโรคร้ายที่เกิดจากไวรัสนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบ***นายอภิสิทธิ์ มังคะรัตน์ ม6/7 เลขที่ 3***
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
การใช้ไวรัสเพื่อการควบคุมประชากรกระต่ายในประเทศออสเตรเลีย ซึ่งได้มีผู้นำเอากระต่ายเลี้ยงจากประเทศอังกฤษเข้าไปเลี้ยงในประเทศออสเตรเลีย ที่ซึ่งอาหารการกินอุดมสมบูรณ์และไม่มีศัตรูทำลายกระต่ายจึงทำให้ประชากรกระต่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมากอย่างน่าตกใจจนทำให้กระต่ายเหล่านั้นเป็นตัวทำลายพืชผลของเกษตรกรชาวออสเตรเลียไปโดยมิได้ตั้งใจ เมื่อมีเหตุเช่นนี้เกิดขึ้นนักวิทยาศาสตร์ก็พยายามหาทางกำจัด หรือควบคุมประชากรกระต่ายโดยใช้ไวรัสพวกมิกโซมาโทซิส (myxxomatosis) ซึ่งทำให้เกิดโรคในกระต่ายอย่างรุนแรงจนถึงตายได้ ทำให้การควบคุมประชากรกระต่ายดังกล่าวได้ผลดียิ่ง โดยมีอัตราการตายของกระต่ายสูงถึงเกือบร้อยละ 99 ในระยะเริ่มต้นของการปล่อยเชื้อไวรัสซึ่งยังความปิติให้แก่นักวิชาการและประชาชนทั่วไปที่คิดว่าประสบความสำเร็จ แต่ก็ดีใจไม่ได้นานเพราะพวกกระต่ายที่สามารถพัฒนาภูมิต้านทานต่อสู้กับเชื้อไวรัสและสามารถรอดตายจากโรคร้ายที่เกิดจากไวรัสนั้นได้เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ
ตอบลบนายปฏิภาณ สมคะเนย์ ม.6/7 เลขที่2
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ
เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่นการดื้อสารฆ่าแมลงมนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะการใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
นายชิตณรงค์ กุลมงกฏ ม.6/7เลขที่13
ตอบลบ***การพัฒนากับวิวัฒนาการ****
1.การดื้อยาสารฆ่าแมลง เช่น การใช้ดีดีที มาฆ่าแมลงศัตรูพืช ครั้งแรกได้ผลเกือบ 100% ต่อมามีแมลง สามารถดื้อยาเพิ่มขึ้น เกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติขึ้น บทเรียนดังกล่าวช่วยสอนให้มนุษย์ต้องใช้ความระวังอย่างมากในการนำสารเคมีชนิดใหม่ ๆ มาใช้ฆ่าแมลงศัตรูและแมลงพาหะในปัจจุบัน (สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม คือ การนำ สารเคมี หรือยาธรรมชาติที่สกัดจากพืชสมุนไพรมาใช้ในทางการเกษตรและทางการแพทย์ตามแบบของเทคโนโลยีที่ได้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น
2. การดื้อยาปฏิชีวนะ
ยารักษาโรค และยาปฏิชีวนะที่นำ มาใช้รักษาโรคที่ติดเชื้อแบคทีเรียอย่างได้ผลในอดีต ปัจจุบันพบว่าแบคทีเรีย ดื้อยาปฏิชีวนะดังกล่าวจึงรักษาโรคไม่หาย (เพราะเกิดการคัดเลือกตามธรรมชาติโดยกลไกทางพันธุกรรมของเชื้อแบคทีเรีย) ยกเว้น เพนนิซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะชนิดแรกที่ยังมีประสิทธิภาพดีอยู่จนถึงปัจจุบัน
ชไมพร ผลชื่น ม.6/7 เลขที่26
ตอบลบการพัฒนากับวิวัฒนาการ เมื่อวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้นจึงส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นด้วย เช่นการดื้อสารฆ่าแมลงมนุษย์ใช้สารเคมีกำจัดแมลงกันมานาน แม้ว่าสารเคมีที่ใช้จะได้ผล แต่ความเป็นพิษของสารเคมียังตกค้างอยู่ในสภาพแวดล้อมและก่อให้เกิดปัญหาทางด้านมลพิษอย่างมาก การใช้ยาฆ่าแมลงครั้งแรกอาจกำจัดแมลงได้ผล แมลงตายเกือบหมด แต่แมลงบางตัวมียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงจะมีชีวิตรอดและให้กำเนิดลูกหลานที่มียีนต้านทานต่อสารฆ่าแมลงในประชากรมากขึ้น ทำให้แมลงดื้อยา จนต้องเปลี่ยนชนิดของยาฆ่าแมลงใหม่
การดื้อยาปฏิชีวนะการใช้ยาปฏิชีวนะทำให้แบคทีเรียบางสายพันธุ์ตายไป บางสายพันธุ์สามารถต้านทานได้ และมีชีวิตอยู่รอดและสืบทอดไปยังรุ่นต่อไปเจริญขึ้นมาแทนที่ ทำให้มีการดื้อต่อยาปฏิชีวนะเพิ่มขึ้น นักวิทยาศาสตร์จึงต้องคิดยาตัวใหม่ขึ้น ในขณะเดียวกันกับที่แบคทีเรียมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางพันธุกรรมในประชากรให้ต้านทานยาปฏิชีวนะด้วยเช่นกัน การดื้อยานอกจากจะเกิดในระหว่างที่มีการใช้ยาปฏิชีวนะรักษาโรคแล้ว ยังเกิดจากการได้รับยาปฏิชีวนะที่ติดมากับอาหารได้อีกด้วย
ชื่อ นางสาวจุฬารัตน์ ไชยสัตย์ ม.6/7 เลขที่ 25
ตอบลบในปัจจุบันวิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้ามากขึ้น และสิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมากมายหลายสปีชีส์ นอกจากเกิดจากการผ่าเหล่าแล้วอาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น สภาพดื้อยา (Chemical resistance) ของสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่นแบคทีเรียชนิด Escherichia coli ดื้อยาสเตรปโตมัยซิน (Streptomycin) และแมลงหวี่ Drosophilia melanogaster ดื้อยา ดีดีที สัตว์ทั้งสองนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกัน คือเมื่อได้รับยาครั้งแรกแบคทีเรียและแมลงหวี่ส่วนใหญ่จะตาย ส่วนน้อยที่เหลืออยู่รอดจะสืบพันธุ์เพิ่มจำนวนอีกหลายชั่วรุ่น ได้ประชากรที่ไม่ตายเพราะพิษของยาเรียกสภาพนี้ว่าการดื้อยา