การรักษาดุลยภาพภายในร่างกายของสัตว์(homeostasis)
ถือได้ว่าเป็นหัวใจอันสำคัญต่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสรีรวิทยาของสัตว์ นักสรีรวิทยาให้แนวความคิดเกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพของร่างกายว่าสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสัตว์มี 2 ชนิด คือ
1. สภาพแวดล้อมภายนอกตัวสัตว์ (external environment) 2. สภาพแวดล้อมภายใน (internal environment)ซึ่งได้แก่ของเหลวที่อาบรอบเซลล์ เลือด และน้ำเหลือง ซึ่งสัตว์จะต้องมีการรักษาสภาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ให้ค่อนข้างคงที่หรือมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยในช่วงจำกัดค่าหนึ่งจึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้ถึงแม้สภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
Walter B. Cannon (1929) นักสรีรวิทยาชาวอเมริกันเป็นผู้ที่นำเอาคำว่า “homeostasis” มาใช้เพื่อขยายความหมายของกลไกการรักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกาย(homeo=คล้ายหรือเหมือน,stasis =อยู่นิ่งหรือทรงตัว)ดังนั้น homeostasis จึงหมายถึงการรักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกายให้คงที่ แต่ความหมายของคำว่าคงที่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงภาวะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากแต่หมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในลักษณะที่เป็นไดนามิค (dynamic)
ถือได้ว่าเป็นหัวใจอันสำคัญต่อความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสรีรวิทยาของสัตว์ นักสรีรวิทยาให้แนวความคิดเกี่ยวกับการรักษาดุลยภาพของร่างกายว่าสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับสัตว์มี 2 ชนิด คือ
1. สภาพแวดล้อมภายนอกตัวสัตว์ (external environment) 2. สภาพแวดล้อมภายใน (internal environment)ซึ่งได้แก่ของเหลวที่อาบรอบเซลล์ เลือด และน้ำเหลือง ซึ่งสัตว์จะต้องมีการรักษาสภาพแวดล้อมภายในเหล่านี้ให้ค่อนข้างคงที่หรือมีการเปลี่ยนแปลงได้เล็กน้อยในช่วงจำกัดค่าหนึ่งจึงจะทำให้สิ่งมีชีวิตดำรงอยู่ได้ถึงแม้สภาพแวดล้อมภายนอกร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
Walter B. Cannon (1929) นักสรีรวิทยาชาวอเมริกันเป็นผู้ที่นำเอาคำว่า “homeostasis” มาใช้เพื่อขยายความหมายของกลไกการรักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกาย(homeo=คล้ายหรือเหมือน,stasis =อยู่นิ่งหรือทรงตัว)ดังนั้น homeostasis จึงหมายถึงการรักษาสภาพแวดล้อมภายในร่างกายให้คงที่ แต่ความหมายของคำว่าคงที่ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงภาวะที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หากแต่หมายถึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาในลักษณะที่เป็นไดนามิค (dynamic)
1.สภาพแวดล้อมภายในร่างกายสัตว์ (The internal
environment)ได้แก่ของเหลวที่อาบอยู่รอบ ๆ
เซลล์ เรียกว่า extracellular
fluid มีอยู่ 2 ชนิดคือ
1.1 ของเหลวที่อาบรอบเซลล์และน้ำเหลือง
1.2 พลาสมา
ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่เป็นของเหลวของเลือด
โฮมีโอสเตซิสเกี่ยวข้องกับตัวแปรภายในร่างกาย
(variables) ที่ต้องควบคุมเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมภายในของสัตว์
ดังนี้
1. ความเข้มข้นของออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์ในร่างกาย
2. ความเป็นกรด-เบส(pH)
3. ความเข้มข้นของสารอาหารและของเสียในร่างกาย
4. ความเข้มข้นของเกลือแร่และอิเลคโตรไลต์
5. ปริมาตรของของเหลวนอกเซลล์รวมทั้งแรงดันออสโมติคของของเหลว
6. อุณหภูมิกาย (ในกรณีของสัตว์เลือดอุ่น)
2.วิธีการที่สัตว์ใช้ในการรักษาสภาพแวดล้อมภายใน สัตว์อาศัยกลไกการควบคุมย้อนกลับ
(feedback
mechanism) ช่วยรักษา โฮมีโอสเตซิส ซึ่งมี 2 แบบคือ
1. การควบคุมย้อนกลับแบบบวก
(positive feedback control)
2. การควบคุมย้อนกลับแบบลบ
(negative feedback control)
ร่างกายมักจะใช้กลไกแบบลบมากกว่าแบบบวกซึ่งเป็นการควบคุมที่ทำให้ร่างกายกลับสู่สภาพเดิม
การควบคุมแบบลบมีลักษณะสำคัญคือสัญญาณที่ป้อนกลับเข้ามาจะมีผลไปกระตุ้นให้เกิดการตอบสนองในลักษณะตรงข้าม
(feedback
causes a reverse of the response) ตัวอย่างเช่นการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์
(TSH) สัญญาณป้อนกลับ (feedback) ที่มากระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่งหรือยับยั้งการหลั่งฮอร์โมน
TSH คือระดับฮอร์โมนไทรอกซิน (thyroid hormone)ในเลือด หากในเลือดมีระดับฮอร์โมนไทรอกซินสูง
ฮอร์โมนไทรอกซินจะไปมีผลยับยั้งทั้งการหลั่ง TRH จากไฮโปธาลามัสและยับยั้งการหลั่ง
TSH จากต่อมใต้สมอง
ในทางตรงข้ามหากระดับฮอร์โมนไทรอกซินต่ำจะไปมีผลกระตุ้นให้ไฮโปธาลามัสหลั่ง TRH
มากขึ้นและกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่ง TSH มากขึ้น
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสัญญาณป้อนกลับทำให้เกิดการตอบสนองในลักษณะตรงข้ามนั่นเอง
ภาพที่ 1 ไดอะแกรมแสดงกลไกการควบคุมย้อนกลับแบบลบของการหลั่งฮอร์โมนกระตุ้นต่อมไทรอยด์
ส่วนการควบคุมย้อนกลับแบบบวกมีลักษณะสำคัญคือสัญญาณ
(input)
มีผลต่อการเพิ่มหรือเร่งการตอบสนอง (increases or
accelerates the response) ตัวอย่างเช่น
ระหว่างการบีบตัวของกล้ามเนื้อมดลูกจะมีการหลั่งออกซิโตซิน
ออกซิโตซินที่หลั่งออกมาไปมีผลกระตุ้นให้การหดตัวของมดลูกมีความถี่และความแรงเพิ่มมากยิ่งขึ้น
กลไกการควบคุมแบบย้อนกลับพบได้ตั้งแต่ระดับเซลล์เป็นต้นไป
การควบคุมดังกล่าวประกอบด้วยองค์ประกอบ 3 อย่างคือ
1. ตัวรับ (receptor)
2. ศูนย์ควบคุม (control
center)
3. ตัวตอบสนอง (effector)
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นภายนอกหรือภายในของสัตว์
ตัวรับจะรับรู้การเปลี่ยนแปลงและส่งสัญญาณไปยังศูนย์ควบคุม
ศูนย์ควบคุมจะสั่งการและส่งสัญญาณไปยังตัวตอบสนองให้ทำงานเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่เหมาะสมที่จะช่วยให้สภาพแวดล้อมในตัวสัตว์กลับเข้าสู่สภาพปกติ
เพื่อให้นิสิตเห็นภาพได้ง่าย ๆ
และชัดเจนในที่นี้จะเปรียบเทียบกลไกการควบคุมสภาพแวดล้อมของร่างกายสัตว์กับการควบคุมทางวิศวกรรม
เช่นการควบคุมอุณหภูมิห้อง สิ่งเร้าในที่นี้ได้แก่อุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงไป
ศูนย์ควบคุมก็คือเทอร์โมสตัด (thermostat) ของเครื่องทำความร้อน (หรือความเย็น) ทำหน้าที่ควบคุมอุณหภูมิให้ผันแปรได้ในช่วงแคบ ๆ
โดยที่เทอร์โมสตัดมีการตั้งค่าอุณหภูมิไว้ที่จุด ๆ หนึ่ง (เรียกว่า
set-point) มีตัวรับคือเทอร์โมมิเตอร์ ส่วนเครื่องทำความร้อน
(หรือความเย็น) คือ หน่วยตอบสนอง ถ้า set-point
อยู่ที่ 20°C เมื่ออุณหภูมิลดต่ำกว่า 20°C ก็จะไปกระตุ้นให้เครื่องทำความร้อนทำงาน
เมื่ออุณหภูมิสูงเกิน 20°C ก็จะไปหยุดการทำงานของเครื่องทำความร้อนเป็นต้น
ตัวอย่างของการรักษาดุลยภาพในร่างกายสัตว์
1. โฮมีโอสเตซิสของน้ำในร่างกาย
(osmoregulation)
Osmoregulation
หมายถึงการควบคุมปริมาณน้ำในกระแสเลือด
ทั้งนี้จะรวมถึงความเข้มข้นของสารอิเลคโตรไลต์ในเลือด (เช่นแคลเซียม
โซเดียม โพแทสเซียม คลอไรด์และอื่น ๆ) ด้วย
กลไกการควบคุมเป็นดังนี้
1.1 การเปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำในร่างกาย กระตุ้นกลไกการควบคุมย้อนกลับของร่างกาย
1.2
ออสโมรีเซพเตอร์
ซึ่งอยู่ที่สมองส่วนไฮโปธาลามัสรับรู้การเปลี่ยนแปลงได้จากกระแสเลือด
1.3
ไฮโปธาลามัสส่งสารสื่อเคมีไปยังต่อมใต้สมอง
1.4
ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมน anti-diuretic
hormone (ADH) ไปออกฤทธิ์ที่ท่อหน่วยไต
ทำให้ท่อหน่วยไตดูดน้ำกลับมากขึ้น หรือน้อยลงแล้วแต่กรณี
การควบคุมการดูดน้ำกลับมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณการหลั่งของ ADH นั่นเอง
ภาพที่ 2 ไดอะแกรมแสดงกลไกการรักษาปริมาณน้ำในร่างกายโดยการหลั่งฮอร์โมน
ADH
2.
โฮมีโอสเตซิสของระดับน้ำตาลในเลือด
ร่างกายต้องการปริมาณน้ำตาลในเลือดที่พอเหมาะเพื่อสร้าง
ATP แต่เนื่องจากความต้องการ ATP ของร่างกายเปลี่ยนแปลงได้ตามสภาพของร่างกาย
ดังนั้นร่างกายจึงต้องเตรียมปริมาณน้ำตาลในเลือดให้ได้ตามความต้องการผลิตพลังงานอยู่เสมอ
ร่างกายควบคุมโฮมีโอสเตซิสของน้ำตาลในเลือดผ่านทางฮอร์โมน 2 ชนิดคือ
อินซูลิน และกลูคากอน
3. การควบคุมอุณหภูมิร่างกายของสัตว์เลือดอุ่น
สัตว์เลือดอุ่นใช้กลไกการควบคุมย้อนกลับแบบลบในการรักษาอุณหภูมิของร่างกายได้หลายทาง
โดยมีศูนย์กลางที่รับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอยู่ที่สมองไฮโปธาลามัส
ตัวรับรู้การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิเรียกว่า เทอร์โมรีเซพเตอร์ (thermoreceptor) ที่ผิวหนังจะมีเทอร์โมรีเซพเตอร์เป็นตัวรับรู้อุณหภูมิภายนอกแล้วส่งสัญญาณไปที่ไฮโปธาลามัส
ไฮโปธาลามัสจะส่งกระแสประสาทไปยังอวัยวะตอบสนองให้มีการทำงานในทางที่จะช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายเข้าสู่ภาวะปกติต่อไป
วิธีการที่สัตว์ใช้ในการปรับสมดุลของอุณหภูมิร่างกาย
(Corrective mechanisms in temperature control) ได้แก่
1. การเพิ่มหรือลดการหลั่งเหงื่อ
2. การขยายตัว-การหดตัวของหลอดเลือดบริเวณผิวหนังเพื่อการระบายความร้อน
นอกจากนี้การหดตัวและการขยายตัวของหลอดเลือดบริเวณภายในร่างกายยังมีผลต่อการกระจายความร้อนและการรักษาระดับอุณหภูมิของเลือดที่ไหลกลับเข้ายังหัวใจได้ด้วย
โดยการไหลของเลือดในหลอดเลือดแดงและหลอดเลือดดำในลักษณะที่เป็น countercurrent
flow มีบทบาทต่อการรักษาอุณหภูมิให้กับร่างกายด้วยเช่นกัน
3. การหดตัวของกล้ามเนื้อ
piloerector ที่โคนขนเพื่อผลิตความร้อน
และการสั่นของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย (shievering)
4. การเพิ่มหรือลดอัตราเมตาโบลิซึมของร่างกายผ่านทางการทำงานของฮอร์โมน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น