วันจันทร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2556

กฎของความน่าจะเป็น (Probability) และกฎแห่งการแยก (Law of Segregation)


จากการศึกษาพันธุศาสตร์ของเมนเดล พบว่า อัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยของรุ่นที่ 2 เป็น 3:1 
เมนเดลตั้งคำถามว่า เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น อัตราส่วนดังกล่าวเมนเดลคงไม่ใช่คนแรกที่พบ แต่คนที่พบอัตราส่วนนี้ไม่สามารถอธิบายได้
เนื่องด้วยเมนเดลเป็นนักคณิตศาสตร์และสถิติ จึงนำกฎของความน่าจะเป็น (probability) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทดลอง เพื่ออธิบายอัตราส่วนของลักษณะเด่นและลักษณะด้อยที่เกิดขึ้นในรุ่น F2 ที่เกิดขึ้นดังภาพ
ภาพที่ 1 โอกาสของการออกหัว (ห) และออกก้อย (ก) จากการโยนเหรียญ 2 เหรียญ
(ที่มา : สสวท. ชีววิทยา เล่ม 4. 2554. หน้า8)

จากภาพที่ 1 การโยนเหรียญบาทขึ้นไปในอากาศแล้วปล่อยให้ตกลงพื้นอย่างอิสระ โอกาสที่เหรียญจะตกตกลงมาแล้วออกหัวและก้อยได้เท่ากัน ถ้าโยนเหรียญ 2 เหรียญพร้อมๆ กัน โอกาสที่จะเป็นไปได้มี 3 แบบ คือ
แบบที่ 1 ออกหัวทั้งสองเหรียญ
แบบที่ 2 ออกหัว 1 เหรียญ และออกก้อย 1 เหรียญ
แบบที่ 3 ออกก้อยทั้งสองเหรียญ
โดยมีอัตราส่วน แบบที่ 1 : แบบที่ 2 : แบบที่ 3 = 1 : 2: 1

นักเรียนทราบหรือไม่ว่า กฎความน่าจะเป็นมีกี่ข้อ อะไรบ้าง ?
กฎความน่าจะเป็น มี 2 ข้อ คือ
1. กฎการคูณ ใช้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมๆ กัน เหตุการณ์ใดๆ ที่ต่างเป็นอิสระต่อกันโอกาสที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นได้พร้อมกันมีค่าเท่ากับผลคูณของโอกาสที่จะเกิดขึ้นแต่ละเหตุการณ์ เช่น
      เมล็ดกลมมีโอกาสปรากฎ 3/4
      เมล็ดขรุขระมีโอกาสปรากฎ 1/4
      เมล็ดสีเหลืองมีโอกาสปรากฎ 3/4
      เมล็ดสีเขียวมีโอกาสปรากฎ 1/4
ดังนั้นโอกาสที่จะเกิด
      เมล็กกลม-สีเหลือง = 3/4 x 3/4 = 9/16
      เมล็ดกลม-สีเขียว   = 3/4 x 1/4 = 3/16
      เมล็ดขรุขระ-สีเหลือง = 1/4 x 3/4 = 3/16
      เมล็ดขรุขระ-สีเขียว = 1/4 x 1/4 = 1/16
2. กฎการบวก ใช้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกัน ความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์ใด เหตุการณ์หนึ่ง หรือเหตุการณ์ที่สองจะเท่ากับความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์ที่หนึ่งบวกด้วยความน่าจะเป็นของการเกิดเหตุการณ์ที่สอง เช่น ในการโยนเหรียญ 1 เหรียญ โอกาสที่จะออกหัวเท่ากับ 1/2 โอกาสที่จะออกก้อยเท่ากับ 1/2 ดังนั้น โอกาสที่โยนเหรียญครั้งหนึ่งแล้วจะออกหัวหรือก้อยมีค่าเท่ากับ 1/2 + 1/2 = 1
ในกรณีของการผสมพันธุ์ถั่วลันเตารรุ่น F1 ซึ่งมีฟีโนไทป์เป็นฝักสีเขียวและจีโนไทป์เป็น Gg อาจเปรียบได้กับเหรียญที่มีหน้าหนึ่งเป็น G อีหน้าหนึ่งเป็น g การผสมระหว่างรุ่น F1 กับรุ่น F1 จึงเท่ากับการโยนเหรียญขึ้นไปในอากาศพร้อมๆ กัน 2 เหรียญ โอกาสที่ยีนในรุ่น F2 จะเข้าคู่กันได้เป็น 3 แบบ คือ GG Gg และ gg โดยมีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 และมีฟีโนไทป์ 2 แบบ คือ ฝักสีเขียวกับฝักสีเหลืองในอัตราส่วน 3 : 1 
ดังนั้นปัญหาที่สงสัยว่าอัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยในรุ่น F2 เพราะเหตุใดจึงเท่ากับ 3 : 1 สามารถอธิบายด้วยกฎของความน่าจะเป็น ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เมนเดลประสบความสำเร็จในการทดลอง 

กฎแห่งการแยก (Law of Segregation)

จากการศึกษาทดลองของเมนเดลของถั่วลันเตาทั้ง 7 ลักษณะ ของรุ่น F1 และทำการศึกษาซ้ำอีกหลายรุ่นจนได้รุ่น F2 เป็นจำนวนหลายพันต้น โดยใช้กฎของความน่าจะเป็นในการวิเคราะห์ข้อมูลทำให้สามารถคิดหลักกการพื้นฐานของพันธุศาสตร์ได้ เรียกว่า กฎแห่งการแยกและกฎแห่งการรวมกลุ่มอย่างอิสระ
จากกฎของความน่าจะเป็นสามารถนำมาใช้อธิบายในเรื่องของอัตราส่วนของจีโนไทป์ของรุ่น F1 ได้อัตราส่วนดังกล่าวนี้จะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อยีน G กับ g จะต้องแยกจากกันไปสู่เซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ จึงเกิดเป็นกฎแห่งการแยก (law of segregation) ซึ่งเป็นกฎข้อที่ 1 มีใจความว่ีา "ยีนที่อยู่เป็นคู่จะแยกออกจากันในระกว่างการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ลัเซลล์จะได้รับแอลลีนใดแอลลีนหนึ่ง" จากกฎข้อนี้สามารถทำนายลักษณะในรุ่น F1 ได้ เมื่อทราบจีโนไทป์ในรุ่นพ่อแม่ ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจในกฎข้อนี้่สามารถศึกษาได้จากแผนภาพแสดงการทดลองของเมนเดลดังภาพที่ 2

ภาพที่ 2 ยีนที่เป็นแอลลีนกันจะแยกไปอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์ตามกฎแห่งการแยก
(ที่มา : สสวท. ชีววิทยาเล่ม 4. 2554. หน้า 10)

จากภาพที่ 2 ให้นักเรียนอภิปรายจากคำถามต่อไปนี้
1. รุ่น F1 มีโอกาสสร้างสเปริ์มหรือเซลล์ไข่กี่ชนิด อะไรบ้าง รุ่น F2 มีจีโนไทป์ และฟีโนไทป์กี่ชนิด อะไรข้าง และอัตราส่วนเท่าใด
2. การเข้าคู่กันของยีนเป็นไปตามกฎของความน่าจะเป็นอย่างไร

จากภาพที่ 2 แนวอภิปราย
รุ่น F1 มีฟีโนไทป์เป็นฝักสีเขียวทั้งหมดและมีจีโนไทป์เป็น Gg รุ่น F2 มีฟีโนไทป์ 2 แบบ คือ ฝักสีเขียวและฝักสีเหลืองในอัตราส่วน 3: 1 แสดงว่าลักษณะฝักสีเหลืองลักษณะด้อยซึ่งควบคุมด้วยยีนด้อยที่แฝงอยู่ในรุ่น F1 และปรากฎออกำมาในรุ่น F2 ทำให้รุ่น F2 มีลักษณะเด่อนต่อลักษณะด้อยในอัตราส่วนเท่ากับ 3 : 1

สิ่งที่เมนเดลยังอธิบายไม่ได้คืออะไร

เมนเดลไม่ทราบว่ามีกลไกอะไรที่ทำให้ยีนที่เป็นคู่กันแยกออกจากกันในระหว่างที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ และยังไม่ทราบเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส แต่ด้วยความสามารถทางคณิตศาสตร์จึงทำให้เทนเดลพบกฎแห่งการแยก ซึ่งเป็นกฎที่สำคัญในวิชาพันธุศาสตร์ ในภายหลังจึงเป็นที่ทราบกันว่ายีนที่อยู่กันจะแยกออกจากันเมื่อมีการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส และเมื่อมีการปฏิสนธิจะเกิดการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ ยีนจะกลับมาปรากฎเป็นคู่กันอีกครั้ง 

แบบฝึกกิจกรรม เรื่อง พันธุศาสตร์ของเมนเดล

ให้นักเรียนร่วมกันวิเคราะห์และค้นหาคำตอบจากคำถามต่อไปนี้
      1. จงเติมจีโนไทป์ของเซลล์ร่างกาย สภาพของ genotype แบบของยีนในเซลล์สืบพันธุ์และโอกาสของการเกิดเซลล์สืบพันธุ์แต่ละแบบ ลงในตารางต่อไปนี้ให้สมบูรณ์
genotype ของเซลล์ร่างกาย
สภาพของ genotype
แบบของยีนในเซลล์สืบพันธุ์และโอกาสของการเกิด
WW
heterozygous
W และ w
Tt
aa
a

      2. ถั่วลันเตาลักษณะเมล็ดสีเหลืองเป็นลักษณะเด่นต่อลักษณะเมล็ดสีเขียว ในการผสมตัวเองของต้นที่มีลักษณะเมล็ดสีเหลืองที่เป็น heterozygous ทั้งคู่ จงหาร้อยละของลูก (F1) ที่ให้เมล็ดสีเขียว
      3. ในแมลงหวี่ กำหนดให้ L เป็นยีนควบคุมลักษณะปีกยาวและ l เป็นยีนควบคุมลักษณะปีกสั้น เมื่อผสมแมลงหวี่ปีกยาวและปีกสั้น จะได้ลูกที่มีปีกยาวและลูกที่มีปีกสั้นในอัตราส่วน 1:1 จงหา genotype ของพ่อแม่ และลูก
      4. เมื่อนำกระต่ายขนสีดำที่เป็น homozygous ผสมกับกระต่ายขนสีน้ำตาล ปรากฎว่าลูกที่เกิดมีขนสีดำทั้งหมด (สมมติให้ B และ b แทนแอลลีนคู่หนึ่งที่ควบคุมลักษณะสีขน)
            4.1 ข้อมูลนี้บอกอะไรแก่เราบ้าง
            4.2 genotype ของ F1 มีสภาพเป็น homozygous หรือ heterozygous
            4.3 ถ้านำรุ่น F1 ผสมกันเอง รุ่น  F2  จะมี genotype ได้กี่แบบ อะไรบ้าง และมีอัตราส่วนเท่าใด
            4.4 ถ้านำรุ่น F1  ผสมกับรุ่นพ่อแม่ที่มีขนสีน้ำตาล ลูกที่ได้จะมีขนสีอะไรบ้าง ในอัตราส่วนเท่าใด
      5. ถ้า N แทนยีนที่ควบคุมลักษณะปีกปกติของแมลงหวี่ และ n แทนยีนที่ควบคุมลักษณะปีกสั้น ในการผสมพันธุ์แมลงหวี่ที่มีปีกปกติคู่หนึ่ง ปรากฎว่ารุ่นลูกจำนวน 123 ตัว มีปกติ 88 ตัว และปีกสั้น 35 ตัว
            5.1 ข้อมูลนี้บอกอะไรแก่เราบ้าง
            5.2 จงเขียน genotype ของแมลงหวี่ในรุ่นพ่อแม่
            5.3 เมื่อนำแมลงหวี่ปีกสั้นในรุ่นลูก ผสมกับแมลงหวี่ปีกปกติในรุ่นพ่อแม่ จะได้ลูกมีลักษณะปีกเป็นอย่างไรบ้าง คิกเป็นอัตราส่วนเท่าใด

อธิบายเพิ่มเติม

      "ในการผสมพิจารณาเพียงหนึ่งลักษณะ เหตุใดอัตราส่วนฟีโนไทป์ของรุ่น F2 จึงมีลักษณะเด่นต่อลักษณะเท่ากับ 3 : 1
      ผลการทดลองการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมในถั่วลันเตา ทำให้เมนเดลพบว่ายีนหรือแฟคเตอร์ ทำหน้าที่เป็นหน่วยพันธุกรรม จะมีคุณสมบัติ และลักษณะเฉพาะตัว ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพฮอมอไซกัส หรือเฮเทอโรไซกัส คู่ยีนจะแยกกันอยู่อย่างอิสระ (ไม่เหมือนกับการผสมสี) และอยู่ที่ ตำแหน่งเดียวกัน
      จากผลการทดลองสร้างลูกผสมที่มีความแตกต่างกันหนึ่งลักษณะทั้ง 7 ลักษณะ และได้ผลการทดลองเหมือนกัน คือ ลูกผสมรุ่นที่ 1 จะปรากฏเพียงลักษณะเดียว ลูกผสมรุ่นที่ 2 จะพบทั้งสองลักษณะ ในอัตราส่วนประมาณ 3 : 1
    อัตราส่วนดังกล่าว จากการที่เมนเดลเป็นนักคณิตศาสตร์และสถิติ จึงนำกฎความน่าจะเป็น (probability) มาใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจากผลการทดลองเพื่ออธิบายผลการทดลองดังกล่าว ทำให้เมนเดลเสนอ กฏการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมขึ้นมาหนึ่งข้อ คือ กฎการแยกตัวของแฟคเตอร์
      ตัวอย่าง ความน่าจะเป็น เช่น การโยนเหรียญบาทให้ตกลงพื้นอย่างอิสระ โอกาสที่เหรียญจะตกลงมาแล้วออกหัวและก้อยได้เท่ากัน ถ้าโยนเหรียญ 2 เหรียญพร้อม ๆ กัน โอกาสที่เป็นไปได้มี 3 แบบ คือ
      แบบที่ 1 ออกหัวทั้ง 2 เหรียญ
      แบบที่ 2 ออกหัว 1 เหรียญ และออกก้อย 1 เหรียญ
      แบบที่ 3 ออกก้อยทั้ง 2 เหรียญ
      โดยมีอัตราส่วน แบบที่ 1 : แบบที่ 2 : แบบที่ 3 = 1 : 2 : 1


เหรียญที่ 1
เหรียญที่ 2
หัว 1/2
ก้อย 1/2
หัว 1/2
หัว-หัว 1/2x1/2 =1/4
หัว-ก้อย 1/2x1/2=1/4
ก้อย 1/2
ก้อย- หัว 1/2x1/2=1/4
ก้อย-ก้อย 1/2x1/2=1/4
      ในกรณีของการผสมถั่วลันเตารุ่น F1
      ซึ่งมีฟีโนไทป์เป็นต้นสูง และมีจีโนไทป์เป็น Tt
      อาจเปรียบได้กับเหรียญที่มีหน้าหนึ่งเป็น T อีกหน้าหนึ่งเป็น t
      กฎข้อนี้มีใจความสำคัญว่าลักษณะพันธุกรรมต่าง ๆ จะมีแฟคเตอร์ หรือหน่วยเป็นตัวควบคุมลักษณะพันธุกรรม และแฟคเตอร์นั้นจะต้องอยู่กันเป็นคู่ เมื่อมี การสร้างเซลล์สืบพันธุ์เพื่อที่จะผสมพันธุ์กัน แฟคเตอร์ที่อยู่เป็นคู่จะแยกตัวออกจากกัน และจะกลับมาปรากฏเป็นคู่อีกครั้งเมื่อมีการผสมพันธุ์กันระหว่างเซลล์สืบพันธุ์ที่แตกต่างกันดังเช่นการแยกตัวของยีนที่ควบคุมลักษณะสีของดอกถั่วลันเตา

      จากภาพจะเห็นว่าโอกาสที่ยีนในรุ่น F2 การเข้าคู่กันได้เป็น 3 แบบ คือ PP Pp และ pp โดยมีอัตาส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 และมีฟีโนไทป 2 แบบ คือ ดอกสีม่วงกับดอกสีขาว ในอัตราส่วน 3 : 1
      ปัญหาที่น่าสงสัย คือ อัตราส่วนระหว่างลักษณะเด่นต่อลักษณะด้อยในรุ่น F2 เหตุใดจึงเป็น 3 : 1 จึงสามารถอธิบายได้ด้วยกฎความน่าจะเป็น จึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เมนเดลประสบผลสำเร็จในการทดลอง
      ปัญหาต่อมา คือ ยีน P และ p ในรุ่น F1 ถูกนำไปยังรุ่น F2 ได้อย่างไร จึงทำให้ PP : Pp : pp มีอัตราส่วนเท่ากับ 1 : 2 : 1 อัตราส่วนดังกล่าวจะเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อยีน P และ p จะต้องแยกจากกันไปสู่เซลล์สืบพันธุ์ แต่ละเซลล์จึงเกิดเป็น กฎแห่งการแยก (Law of Segragation)
      กฎแห่งการแยก (Law of Segragation) มีใจความว่า  "ยีนที่อยู่เป็นคู่จะแยกออกจากกันในระหว่างการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ โดยเซลล์สืบพันธุ์แต่ละเซลล์จะได้รับเพียงแอลลีนใดแอลลีนหนึ่ง"
      จากกฎข้อที่ 1 นี้ สามารถนำไปไปทำนายลักษณะพันธุกรรมในรุ่น F2 ได้ เมื่อรู้จีโนไทป์ของรุ่นพ่อแม่
      ในขณะที่เมนเดลนำเสนอกฎนี้ เมนเดลไม่ทราบว่ามีกลไกอะไรที่ทำให้ยีนที่อยู่เป็นคู่กันแยกออกจากกัน ในระหว่างที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ และยังไม่ทราบเกี่ยวกับการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิส แต่อาศัยที่มีความรู้ทางด้านคณิตศาสตร์ทำให้เมนเดลพบกฎแห่งการแยกซึ่งนำมาใช้ในทางพันธุศาสตร์จวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน และในภายหลังจึงมีการนำความรู้เรื่องการแบ่งเซลล์แบบไมโอซิสมาอธิบายการแยกออกจากันของยีนที่อยู่เป็นคู่ได้ และเมื่อเกิดการปฏิสนธิจะเกิดการรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์ ยีนจะกลับมาปรากฎเป็นคู่กันอีกครั้ง
      พืชแต่ละต้นจะมียีนควบคุมอยู่เป็นคู่ เช่น ลักษณะของเมล็ดถั่วลันเตาจะมีอยู่ 2 อัลลีล ( เพราะลักษณะพันธุกรรม จะมียีนเป็นตัวควบคุมลักษณะ และยีนนั้นจะอยู่กันเป็นคู่) แต่ละอัลลีลจะได้มาจากเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อ และแม่ และยีนนั้นจะอยู่กันเป็นคู่ แต่ละอัลลีลจะได้มาจากเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อ และแม่
      พ่อแม่                                 เมล็ดกลม X เมล็ดย่น
      จีโนไทป์                                        AA x aa
      เซลล์สืบพันธุ์                                  A       a
      F1                                                       Aa
      ลูก F1 ( ผสมตัวเอง )                       Aa x Aa
      เซลล์สืบพันธุ์                             A ,  a         A ,  a
      ลูก F2                                   AA        Aa       Aa       aa
      อัตราส่วนฟีโนไทป์ F2                 เมล็ดกลม : เมล็ดย่น = 3 : 1
      จะเห็นได้ว่า อัตราส่วน 3 : 1 ที่พบในลูกรุ่นที่ 2 นั้นเกิดจากการที่ยีนที่ควบคุมลักษณะที่อยู่กันเป็นคู่ในรุ่นพ่อแม่รุ่นที่ 1 ( Aa และ Aa ) จะแยกตัวออกจากกันในขณะที่มีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์ ทำให้เซลล์สืบพันธุ์มียีนอยู่ในสภาพเดี่ยว ( A ) และ ( a ) อย่างละครึ่งและเมื่อเซลล์สืบพันธุ์ของพ่อและแม่มารวมกันเมื่อมีการปฏิสนธิ (การรวมกันของเซลล์สืบพันธุ์จะเป็นไปอย่างสุ่ม) ยีนก็จะกลับมาอยู่กันเป็นคู่อีกในลูกรุ่นที่ 2 คือ Aa , Aa และ aa อย่างละ 1/4 , 2/4 และ 1/4 ตามลำดับ ซึ่งการทดลองตามแผนผังจะสอดคล้องกับผลการทดลองของเมนเดล




1 ความคิดเห็น:

  1. น.ส.ปาริชาติ มีมาชั้น ม.6/7เรียนชีวะง่วงมากเลยค่ะ
    ครูช่วยหาคลิปตลกมาเปิดช่วงพักเบรก จะได้ขำๆ
    แล้วก็จะไม่ได้ง่วง

    ตอบลบ

The Human Respiratory System

This system includes the lungs, pathways connecting them to the outside environment, and structures in the chest involved with moving air in...